วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ

น้ำสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ

กินอยู่อย่างไทย ตามแบบภูมิปัญญาไทยเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยใช้สมุนไพรหรือผักผลไม้ที่หาได้ไม่ยากในวิถีชีวิตแบบ ไทย ๆ นำมาปรุงแต่งให้เป็นเครื่องดื่ม โดยยังคงคุณค่าตัวยาในการส่งเสริมสุขภาพหรือรักษาโรคไว้เช่นเดิม น้ำดื่ม สมุนไพ คือส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรเพื่อให้ยั่งยืนคู่สังคมไทย และสภาพแวดล้อมไทย ๆ ต่อไป

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"

UploadImage

3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเรา โดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็ง กล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรด ไขมันที่ชื่อ ว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้

ประโยชน์ และ สรรพคุณของชาเขียว

UploadImage

ประโยชน์ / สรรพคุณของชาเขียว

สรรพคุณของชาเขียว

- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีถึง 25 เท่า ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ลดริ้วรอยก่อนวัยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ แบบนี้สาวๆ ต้องรีบหามาดื่มกันบ้างแล้วล่ะค่ะ

- สารแคเทชินในชาเขียวสามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเตอรอลในลำไส้ และช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย

- สามารถเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารและไขมัน เพราะชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีประสิทธิภาพในการทำงาน ดีขึ้น จึงสามารถควบคุมน้ำหนัก จึงเหมาะกับสาวๆ ผู้คิดจะลดหุ่น

- สร้างลมหายใจให้สดชื่น เพราะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็น สาเหตุของโรคเหงือกและฟันต่างๆ ะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึง 95%

- ช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือดซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก

- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย


ประโยชน์ของชาเขียว

- สูตรน้ำแร่ชาเขียว

สร้างความสดชื่นให้กับใบหน้าเหมาะกับสาวๆ เมืองร้อนอย่างบ้านเราเลยค่ะ แค่นำน้ำแร่มาต้มให้เดือดใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไปอาจเพิ่มใบสะระแหน่สัก นิดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำไปแช่ในตู้เย็นกรองเอาแต่น้ำแล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำมาฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอเพิ่มความชุ่มชื่นสดใสไปตลอดวัน

- สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว

ต้มชาเขียวกับน้ำเดือดแล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด จากนั้นใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่มนำมาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดริ้วรอยของผิวรอบดวงตาและยังช่วยลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะ นุ่มนวลและดูสดอ่อนเยาว์ขึ้น

- สูตรลดน้ำหนัก

ดื่มชาเขียว วันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและไขมันของร่างกายได้

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกพรุน

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกพรุน


- แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่ รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไป เท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

- วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

- แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

- วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย เมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลงและมีอัตราการเกิดโรค มะเร็งน้อยลงมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงช่วยให้ร่างกายต่อ ต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

- วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

- ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้ามนะคะ

สูตรน้ำลูกพรุนแบบง่ายๆ

ส่วนผสม

- ลูกพรุนแห้ง 2 ผล
- น้ำตาลทราย พอสมควร
- เกลือป่น เล็กน้อย
- น้ำสะอาด 2 ลิตร
- น้ำแข็งทุบ พอสมควร

วิธีทำ

1. นำลูกพรุนแห้งและน้ำตั้งไฟปานกลางจนเดือดสักครู่น้ำจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่นเล็กน้อยชิมอย่าให้รสหวานมากเกินไป ถ้าใส่เกลือให้ใช้เพียงเล็กน้อยประมาณ 1 หยิบมือเท่านั้น (เพราะปกติการต้มน้ำผลไม้ตากแห้งมักไม่ใส่เเกลือ)
3. ยกลงจากเตาทิ้งไว้จนเย็นเวลาดื่มขณะอุ่นรสชาติเหมือนน้ำชาจีน

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของชาสมุนไพร

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของชาสมุนไพร

- ชาเปปเปอร์มินต์

เพียงแค่กลิ่นหอมๆ เย็นชื่นใจของชามินต์ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้แล้ว ขณะเดียวกันมันช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้นอนหลับง่าย แถมยังทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างปกติ เนื่องจากมินต์มีส่วนช่วยให้ไขมันในระบบย่อยอาหารสลายตัว ป้องกันไม่ให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร และด้วยความที่มันดีต่อกระเพาะของเรา มันจึงเหมาะสำหรับคนที่เมารถเมาเรือ นอกจากนี้มันมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอ่อนๆ จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


- ชาตะไคร้

เราใช้ตะไคร้ในการทำกับข้าวมานานแล้วและชาตะไคร้นั้นก็เป็นหนึ่งในตำรับ โบราณที่ใช้รักษาอาการแน่นหน้าอก ไอ หรือหวัด หากเหยาะพริกไทยลงไปสักนิดอาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนและคลื่นเหียน แถมเคยมีการศึกษาชี้ว่าการดื่มชาตะไคร้ทุกวันจะช่วยรักษาผิวหนังให้ปราศจาก สิวด้วย แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์เด็ดขาดและไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน


- ชาโสม

ไม่ว่าจะเป็นโสมเอเชียหรือโสมอเมริกาต่างก็มีสารอาหารมากมาย ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ และวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งทาง University of Maryland Medical Center ชี้ว่าโสมเป็นสมุนไพรที่เชื่อกันว่า จะช่วยให้เราสู้กับความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทสอง เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันลดคอเลสเตอรอลเลว (LDL) และสาร Ginsenosides ซึ่งพบในโสมนั้นยังมีคุณสมบัติ ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย

- ชาผลกุหลาบ

หลายคนอาจจะรู้จักผลกุหลาบในชื่อของโรสฮิปซึ่งมักจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ชาผลกุหลาบก็มีสรรพคุณดีๆ มากมาย เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีซึ่งสำคัญต่อการ สมานแผล เสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุเดียวกันนี้มันจึงช่วยลดอาการข้ออักเสบด้วย ท้ายสุดนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Planta Medica ในปี 1992 ยังชี้ว่าชาผลกุหลาบอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะก็ตาม


- ชาใบหม่อน

มีอีกชื่อเก๋ๆ ว่า ชามัลเบอร์รี่ ชาใบหม่อนก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในฐานะเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากญี่ปุ่น ที่อาจจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ เนื่องจากเชื่อกันว่ามันสามารถลดการดูดซึมน้ำตาลโดยใบหม่อนนั้นมีทั้ง แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงร่างกายเราได้ในแง่ของกระดูก ผมเล็บ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นกุญแจสำคัญให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น อีกด้วย


Tip

อย่าเพิ่งทิ้งถุงชาให้นำถุงชาที่ใช้แล้วแช่น้ำและนำไปแช่แข็งแล้วนำมาประคบ เวลาแมลงกัดต่อยหรือมีแผลเล็กๆ และยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่ดวงตาได้ดีนัก

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะตูม

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะตูม

ผลโตเต็มที่ - ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแห้งคั่วให้เหลือง ชงรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ท้องร่วง โรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก

ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก - น้ำมาเชื่อมรับประทานต่างขนมหวาน จะมีกลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บำรุงกำลัง รักษาธาตุ ขับลม

ผลสุก - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจำธาตุของผู้สูงอายุ ที่ท้องผูกเป็นประจำ

ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแต่งกลิ่น

ราก - แก้หืด หอบ แก้ไอ แก้ไข้ ขับลม แก้มุตกิต


วิธีและปริมาณที่ใช้

ใช้ผลโตเต็มที่ ฝานตากแห้ง คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่ม ใช้ 2-3 ชิ้น ชงน้ำเดือดความแรง 1 ใน 10 ดื่มแทนน้ำชา หรือชงด้วยน้ำเดือด 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกเดือย

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกเดือย


ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก

ซึ่งสอดคล้อง กับข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสารคอกซีโนไลด์ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้นทำ ให้เส้นผมงอกงามดี

ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเอง

เหตุที่ลูก เดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% เยื่อใย 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูงรวมทั้งวิตามินเอที่ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย
คุณค่ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานของ องค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา

แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็น ชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น

เห็นมั้ยค่ะว่า ลูกเดือยเป็นอาหารคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม

ลูก เดือยจึงเป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นดีเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด และผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

เหตุที่ ลูกเดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงดังกล่าวแล้ว คนจีนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาบดผสมข้าวต้มกินทุกวัน นอกจากนี้ลูกเดือยยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดรวมไปถึงทำเป็นอาหาร เสริมหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่หาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปใครใคร่รับประทานแบบไหนก็ เลือกซื้อหากันตามชอบใจนะค่ะ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต

1. เหตุผลดีๆ ที่ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์

ข้าวโอ๊ตมักนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพราะเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูง แต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ข้าวโอ๊ตจึงนับเป็นอาหารที่ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก จึงดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่างๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้เรารู้สึกอิ่มนานไม่หิวระหว่างมื้อบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่าง กาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบเต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุม น้ำหนัก

2. ข้าวโอ๊ต กินอย่างไรได้ประโยชน์?

เรามักนิยมนำข้าวโอ๊ตมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพเพราะมีคุณค่าทาง โภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม เราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นหลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่ซ้ำ สามารถรับประมาณได้ตลอดและรวดเร็วเหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่รีบเร่งของ ทุกวันนี้ด้วยค่ะ สบายอารมณ์มีสูตรข้าวโอ๊ตอร่อยๆ มานำเสนอเผื่อสาวๆ อยากจะทำรับประทานที่บ้านบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

- ตอนเช้าๆ ลองซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยหรือนมสดสักแก้วแล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปค่ะ) พร้อมลูกเกด ผลไม้สดต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ช่วยเพิ่มพลังให้เช้านี้อย่างสดใสอิ่มท้องอยู่นานไปจนมื้อเที่ยงเลยค่ะ

- โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ นำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊กแล้วปรุงน้ำซุปให้ได้รสชาติตามต้องการ จากนั้นเติมข้าวโอ๊ตลงไปตามด้วยหมูสับและผักตามชอบสับละเอียดก็จะได้โจ๊ก ข้าวโอ๊ตร้อนๆ มากคุณค่า


3. ข้าวโอ๊ตกับความงาม

นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความสวยความงามของสาวๆ กันได้อีกมากมาย นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น แชมพู โลชั่นทาผิว สบู่ข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอีเป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาสครับผิวได้อีกด้วย ค่ะ หรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นแต่ไม่ มันเพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ

UploadImage

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ

อีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะ ร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกัน เลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้อ อาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ

4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจน ลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีก ด้วย

3. มะระ

ทั้งมะระจีนและมะระขี้นกในตำรายาไทยบอกว่าเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงระดู แพทย์จีนเชื่อว่ามะระมีพลังของความเย็น ช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตาและผิวหนัง แม่บ้านชาวจีน มักจะปรุงอาหารด้วยมะระ ให้คนในครอบครัวรับประทานยามเป็นสิวที่ใบหน้าและร่างกาย เมนูมะระ เช่น ผลอ่อนและยอดอ่อนนำมาลวกต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก ถ้าราดด้วยน้ำกะทิจะมีรสชาติดีขึ้น ผัดใส่ไข่ แกงกะทิ แกงจืดยัดไส้หมูสับ ส่วนมะระขี้นกมีรสขมกว่ามะระจีน ผลอ่อนนำไปต้มเผากินกับน้ำพริกหรือราดกะทิสดเพิ่มรสชาติ แกงจืดมะระขี้นกยัดไส้หมูสับ พะแนงมะระขี้นกยัดไส้ แกงเผ็ด ผัดกับไข่ ยอดมะระลวกจิ้มน้ำพริกหรือทานกับปลาป่นของชาวอีสาน และนิยมนำใบใส่ลงไปในแกงเห็ดแบบพื้นบ้านจะทำให้แกงมีรสขมนิดๆ กลมกล่อมมาก บ้างนิยมนำใบมาต้มหรือลวกจิ้มน้ำพริก ทางภาคเหนือนิยมนำยอดมะระสดมากินกับลาบหรือนำไปทำแกงคั่ว แกงเลียง และแกงป่า ได้รสน้ำแกงที่ขมเฉพาะตัว

4. ยอ

ผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักดีและบริโภคเป็นอาหารมานานทั้งใบและผลยอมีวิตามิน ซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ ผู้หญิงควรกินลูกยอที่แก่จัดเพื่อบำรุงเลือดลม ปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คนโบราณเชื่อว่าถ้าเลือดลมดี ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า เราจึงควรหาโอกาสทานอาหารที่มียอเป็นส่วนประกอบเพราะนอกจากจะมีคุณค่าทาง อาหารสูงแล้วยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเป็นปกติโดยไม่เสียสมดุล เมนูเด็ดใบยอ เช่น แกงใบยอปลาดุก ห่อมกใบยอ แกงอ่อมใบยอ ข้าวยำใบยอ เมี่ยงใบยอ หรือยอดใบยอจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนผลก็ลองนำลูกยอสุกงอมจิ้มเกลือกับน้ำตาลกินหรือบางคนอาจยังไม่เคยทาน ส้มตำลูกยอ และปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำลูกยอขายลองไปหามาชิมดู

สรรคุณ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

UploadImage
วันนี้เราได้นำเอาเกร็ดน่ารู้ที่เกี่ยวกับสรรคุณของเมล็ดกาแฟและประโยชน์ของเมล็ดกาแฟมา ฝากคอกาแฟทั้งหลายให้ได้รู้กันค่ะ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยดื่มกาแฟกันใช่ไหมค่ะและก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จนถึงขั้นติดกาแฟเลย ก็อย่างว่าแหละข้อดีของกาแฟที่เรารู้กันก็คือถ้าดื่มกาแฟแล้วจะไม่ง่วง แต่วันนี้คอกาแฟทั้งหลายต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษเพราะว่าวันนี้เราได้นำเอา สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ มาบอกกันค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่แค่จะทำให้กาแฟสดใหม่ หอมอร่อยแค่นั้นนะค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ นี้ยังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย งั้นวันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ กันอย่างละเอียดกันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองว่าคุณจะได้สาระและประโยชน์จากเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบอย่างแน่นอน

สรรคุณ / ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

1. ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

2. กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

3. ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) คืออะไร

ผลโกจิเบอร์รี่ หรือมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Chinese Wolfberry ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทางเภสัชศาสตร์ว่าเป็นพืชในตระกูล Lyceum Barum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน

ความสำคัญของผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแถบเอเชียว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสาร อาหารมากที่สุด ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางยาจีนแผนโบราณซึ่งได้มีการบันทึกในประวัติ ศาสตร์จีนเกือบ 2,000 ปี จากตำนานที่ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานพบว่า โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นพืชโบราณที่มีอายุมากว่าที่จดบันทึกไว้ราว 2,800 ปี ก่อนพุทธกาล

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่นิยมในประเทศในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆ ในระดับแนวหน้าอุตสาหกรรมรมอาหารระดับโลก เพราะผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสารอาหารและการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีพลังแอนตี้ออกซิแดนซ์ (ต่อต้านอนุมูลอิสระจากการทำลายเซลล์และชะลอความชรามากที่สุดในโลก)

โก จิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน การค้นหาโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ชนิดที่ดีเยี่ยมจริงๆ เช่นเดียวกับความหลากหลายของผลองุ่น คุณภาพของเหล้าไวน์ที่แตกต่างกันไป ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีสายพันธุ์ต่างๆ มากถึง 41 สายพันธุ์ด้วยกันที่ปลูกในทิเบต ดร.Mindell ทราบดีว่าเขาต้องทุ่มเทวิเคราะห์สายพันธุ์โกจิหลายสิบสายพันธุ์เป็นอย่างมาก เพื่อหาสายพันธุ์ที่ดีเยี่ยมเพียงสายพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับที่หมอรักษาชาวหิมาลัยโบราณเป็นผู้ค้นพบและได้ รับการกล่าวขานยกย่องเป็นตำนานมาตั้งแต่สมัยโบราณ

จากการค้นคว้าและ วิจัยของ Dr. Earl Mindell ได้ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบประโยชน์ในงานวิจัยดังนี้
- ชะลอความชรา (Anti-aging)
- ควบคุมน้ำตาลในเม็ดเลือดแดง (Blood Builder)
- เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ (Cardiovascular Support)
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immunity System)

ประโยชน์ มากมายจากอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โกจิเบอร์รี่ หรือ เก๋ากี้ รู้จักกันในทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นพืชในตระกูล Lycium Barbarum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน ทิเบต

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ได้แก่

1. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด (ปกติมี 20 ชนิด) แต่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด

2. มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องกายในปริมาณน้อย รวม 21 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม ฯลฯ

3. มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า (เป็นพืชที่มีวิตามินิซีสูงเป็นอันดับสอง รองจาก คามู คามูเบอร์รี่)

4. มีวิตามิน บี1 บี2 บี6 และวิตามินอี

5. มีสารโพลี่แซคคาไรด์ 4 ชนิด : LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4
- ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลดี
- ช่วยปรับความดันโลหิตให้ปกติ
- ช่วยให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลินอยู่ในสภาวะสมดุล
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
- ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้สู่ปกติได้เร็วขึ้น

6. มีสารเจอร์มาเนี่ยม Germanium : Ge ที่อยู่ในสภาพอินทรีย์ (organic) ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง

7. มีสารซิแซนทิน(Zeaxanthin) มีสูงถึง162 มก./100 กรัมสูงกว่าสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 5 เท่า
- ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา
- ช่วยผู้มีอาการ ต้อลม ตาพร่า ตามัว ให้คืนสู่สภาพปกติ
8. เบต้า - ไซโตสเตอรอล (Beta - sitosterol)
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยการดูดซึมที่ลำไส้
- ช่วยลดอาการต่อมลูกหมากโต
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพน้ำอสุจิให้แข็งแรง

9. ไซเพอโรน (Cyperone) ช่วยให้หัวใจและความดันทำงานได้ปกติ

10. ไฟซาลิน (Physalin) ช่วยกำจัดโรคร้าย ลิวคีเมีย (Leukemia)

11. บีรเทน (Betaine) เป็นสารประกอบที่ให้ตับใช้ ผลิตโคลีนซึ่งเป็นสารประกอบที่
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต
- ช่วยป้องกันโรคตับ

12. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดาผักและผลไม้อื่นๆ คือ มีค่า ORAC สูง 25,300 unite

จาก เหตุผลดังกล่าวข้างต้นคุณสามารถดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เพื่อรักษาและป้องกันอาการต่างๆ ได้ เพราะน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ก็คือ น้ำผลไม้ไม่ใช่ยา ไม่มีผลข้างเคียง ชาวจีนใช้กันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 3,000 ปี

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

UploadImage

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ ...

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำมีวิตามินอีและไม่ผ่านขบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) และที่สำคัญกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีกรดคลอริกอยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะ เปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่มีชื่อว่า โมโนลอรีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดาที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ ทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อย เป็นอะไร และยังสามมารถฆ่าเชื้อโรค ในโมโนลอรีนเป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้ เกิดหลอดเลือดแข็งตัว

สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

1. ช่วยในการชะลอความชรา

- ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
- ป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนัง
- ป้องกันการเกิดกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า
- ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง กระด้าง

2. ป้องกันผมหงอก

น้ำมันมะพร้าวสามรถช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมจึงช่วยเสริมความแข็งแรง โดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี

3. ช่วยป้องกันโรค

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ(เลิกบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว)จะช่วยแก้ สถานการณ์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนล้าของผู้สูงอายุ และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ

4. โรคอ้วน

- ให้พลังงานน้อย
- ช่วยนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานน้ำมันมะพร้าวยังไปเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน

5. กระตุ้นกิจกรรมทางเพศ

- ใช้แทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวเป็นสารธรรมชาติที่มีสมบัติคล้ายสารหล่อลื่นในช่องคลอด
- ใช้นวดเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล

UploadImage

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูกจะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้ วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรคจะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมันคงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์ สูงมันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษมีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อและยังยับยั้ง อาการตั้งต้นของโรคและการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือกมากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกอก

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกอก

- ยอดมะกอก กินดิบเป็นผักจิ้ม สุกก็กินได้ เผาจิ้มน้ำพริก

- เนื้อไม้มะกอกแม้จะเป็นไม้เนื้ออ่อน แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำกล่องไม้ขีด ทำไม้จิ้มฟัน ทำกล่องใส่ของ และหีบศพ เป็นต้น

- เปลือก ป่นเป็นผง ผสมน้ำ ใช้ทาแก้โรคปวดตามข้อ ใช้เป็นยาเย็นแก้โรคท้องเสีย โรคเกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียน

- เมล็ด เผาไฟ แช่เอาน้ำดื่ม แก้อาการผิดสำแดง แก้ร้อนใน แก้หอบ สะอึก

- ผลสุก ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) รักษาโรคกระเพาะอาหารพิการ มีรสเปรี้ยวอมฝาดต่อมาจะเปลี่ยนเป็นรสหวาน ชุ่มคอ ผลสุกมีกลิ่นหอมมาก

แม้ตำราปลูกต้นไม้ในบ้านของชาวไทยจะไม่ถือว่ามะกอกเป็นไม้มงคล เพราะไม่มีข้อห้ามมิให้ปลูกมะกอกในบริเวณบ้าน (เช่น ลั่นทมหรือมะรุม) ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดมีพื้นที่บริเวณบ้านพอก็น่าจะหามะกอกมาปลูกไว้สักต้น เพราะนอกจากรูปทรงต้นและลักษณะใบที่งดงามแล้วท่านยังจะได้ประโยชน์จากมะกอก มากมาย

ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย! สมุนไพร ผัก ผลไม้

UploadImage

ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย 10 สมุนไพร ผัก ผลไม้

1. หน่อไม้ฝรั่ง

นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่มราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสาร พิษ และการบวมน้ำโดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน


2. บีทรูท

เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและช่วยกระตุ้นการทำงาน ของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด


3. เบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมากนำไปทำเป็น สมูธตี้หรือสลัดผลไม้


4. บร็อกโคลี

มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็งเนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่าหรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัดหรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

5. กะหล่ำปลี

กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัดหรือนำไปผัดหรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก


6. มะนาว (lemons)

สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูงจึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยใน การล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อนดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุตดื่มเพิ่มความสดชื่น


7. ลินสีด (Linseed) หรือ เมล็ดแฟล็กซ์

นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบดแล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด


8. พริก

อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริก และ มะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดีและช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิดเพื่อให้แน่ใจ ว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย


9. มะละกอ และสับปะรด

มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีนและกระตุ้นให้ร่างกาย ขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะนำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวานหรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาวทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง


10 ผักสลัดน้ำ หรือ วอเตอร์เครส

เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครส เป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของ ตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูงจึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอมหรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของสาหร่ายทะเล

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของสาหร่ายทะเล


1. ไอโอดีน โดยปกติแล้วคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันและช่วยป้องกันโรคคอพอก ได้

2. ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลรวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำ เป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น

3. ทองแดง หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย

4. สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

5. ใยอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระทำให้ท้องไม่ผูกและเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

6. อย่างไรก็ดี ถึงแม้คุณจะชอบสาหร่ายมากเพียงใดก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมสูงผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงจึงควร ระวัง

7. สาหร่ายทะเลไม่เพียงอร่อย แต่ยังมากด้วยประโยชน์ ที่สำคัญมีราคาที่ไม่แพงนัก เห็นทีมื้อเที่ยงนี้ต้องมองหาสาหร่ายทะเลมาทำกับข้าวทานบ้างแล้วค่ะ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของแก้วมังกร

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของแก้วมังกร


ผลไม้รูปร่างกลมรีขนาดใหญ่ เปลือกสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวมีเม็ดคล้ายเม็ดแมงลักฝังตัวอยู่ทั่วผล เนื้อสดหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ เมื่อทานแล้วช่วยทำให้สดชื่นผ่อนคลายได้ดีทีเดียว

แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ สีขาวกับสีแดง สีแดงจะมีรสหวานกว่า ส่วนรสหวานของแก้วมังกรสีขาวเป็นหวานอ่อนๆ ที่ไม่มีพิษภัย จะมีก็แต่คนติดรสหวานที่อาจติว่าจืดชืดไปหน่อย ถ้าใครไม่ชอบก็ขอบอกว่า คุณได้พลาดผลไม้ที่มีประโยชน์สุดๆ ต่อสุขภาพและความงามไปอย่างน่าเสียดาย

ความโดดเด่นที่ทำให้สาวๆ หลายคนชอบกินผลไม้ชนิดนี้ก็เนื่องจากเป็นผลไม้ที่สามารถกินกันได้โดยไม่ต้อง ห่วงเรื่องไขมันและความหวานที่กลายไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง แถมยังกินอิ่มท้องจนทดแทนอาหารเย็น เป็นผลไม้ที่ใช้ช่วยลดน้ำหนักได้สบายๆ ทีเดียว

คุณค่าอาหารที่ซุกซ่อนอยู่ในแก้วมังกรก็มีทั้งแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามิน บี1 บี2 บี3 แต่ที่เยอะมากสุดก็คือวิตามินซี จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องของสายตาได้ด้วย

วิธีทานก็ง่ายๆ แค่ผ่าครึ่งลอกเปลือกหรือใช้ช้อนตักเข้าปากเลยก็ได้หรือจะนำไปทำเป็นเครื่อง ดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แก้วมังกรก็สามารถแทรกรสชาติไปกับทุกอย่างได้กลมกลืนและกลมกล่อม

ที่มา.http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3?start=20

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การวัดและประเมิณผลข้อมูล

การประมวลผลข้อมูล
(Data Processing)

หัวข้อ (Topic)
2.1  การประมวลผลข้อมูล
2.2  หน่วยความจำ
2.3  รหัสแทนข้อมูล

วัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning  Objective)
2.1  อธิบายขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์ได้
2.2  อธิบายเกี่ยวกับประเภทของหน่วยความจำและเปรียบเทียบความแตกต่างได้
2.3  เปรียบเทียบความแตกต่างของรหัสแทนข้อมูลแต่ละแบบได้  และสามารถแสดงวิธีการแปลงรหัส
        แทนข้อมูลของคอมพิวเตอร์ได้

จากเนื้อหาในบทที่  1  ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย  3 ส่วนหลัก ๆ  ได้แก่ Hardware   Software  และ Peopleware   จากองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้  เราได้พูดถึงโครงสร้าง Hardware ด้านกายภาพ (Physical)  ของเครื่อง Micro Computer  ประกอบด้วย Monitor        CPU Set / Case        Keyboard      ซึ่งในบทที่  2 นี้จะขอกล่าวถึงในส่วนของ CPU Set /Case  รวมถึงวิธีการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์

2.1  การประมวลผลข้อมูล
                คอมพิวเตอร์อาศัยอุปกรณ์   4  ส่วนหลักในการประมวลผลข้อมูล  ได้แก่
1.         อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล  (Input  devices)
2.      อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูล (Processor / Central  Processing  Unit:CPU) 
3.      อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล (Output  devices)
4.     อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage)

ซึ่งสามารถอธิบายขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลได้ดังนี้
1. การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input)  User ทำการป้อนข้อมูล (Input data) เข้าสู่ระบบ โดยอาศัย
อุปกรณ์ Input device
2.         การประมวลผลข้อมูล (Process) : เครื่องเริ่มทำการประมวลผล  โดยข้อมูลที่ User นำเข้า
มาจะส่งไปเก็บในหน่วยความจำหลัก (Memory :RAM)  จากนั้น Control  Unit จะควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านระบบ Bus system จาก  RAM  ไปยัง  ALU  เพื่อให้ทำงานตามคำสั่ง



ระหว่างการประมวลผล  Register จะคอยเก็บชุดคำสั่งขณะที่ load ข้อมูลอยู่  และ Cache
จะคอยดักชุดคำสั่งที่ CPU เรียกใช้บ่อย ๆ  และคอยจัดเตรียมข้อมูลหรือชุดคำสั่งเหล่านั้นเพื่อเอื้อให้ CPU ประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ซึ่งการประมวลผลของเครื่องนี้จะทำงานตามรอบสัญญาณนาฬิกาของเครื่อง (Machine cycle)

Note:  Machine cycle  หมายถึง  รอบเวลาที่ใช้ในการประมวลผลชุดคำสั่งของเครื่องต่อรอบสัญญาณนาฬิกา                  เป็นเวลาที่ร้องขอการทำงาน เช่น การเรียก (Load) ข้อมูล,  การประมวลผล (Execute)  และการจัดเก็บข้อมูล  ซึ่งใน Machine cycle  จะประกอบด้วย 2 ช่วงจังหวะการทำงาน ได้แก่
1.   Instruction time ( I-time)  หมายถึง  ช่วงเวลาที่   Control unit รับคำสั่ง (Fetch) จาก memory และนำคำสั่งนั้นใส่ลงไปใน register    จากนั้น Control unit จะทำการถอดรหัสชุดคำสั่งและพิจารณาที่อยู่ของข้อมูลที่ต้องการ  
2. Execution time  หมายถึง   ช่วงเวลาที่  Control unit จะย้ายข้อมูลจาก  memory ไปยัง registers  และส่งข้อมูลให้    ALU  ทำงานตามคำสั่งนั้น    เมื่อ ALU ทำงานเสร็จ  Control unit จะเก็บผลลัพธ์ไว้ใน memory   ก่อนส่งไปแสดงผลที่ Monitor หรือ Printer

3.  การแสดงผลข้อมูล (Output) หลังจาก CPU ประมวลผลเสร็จเรียบร้อย Control  Unit จะ
ควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านBus system เพื่อส่งมอบ (Transfer)  ข้อมูลจาก CPU  ไปยังหน่วยความจำ  จากนั้นส่งข้อมูลออกไปแสดงผลที่ Output device (หากคุณใช้ Card เพิ่มความเร็วในการแสดงผลของจอภาพ ก็จะส่งผลต่อความเร็วของระบบได้เช่นกัน) ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล (Data)  เรียกว่า   ข่าวสารหรือสารสนเทศ (Information)
4.        การจัดเก็บข้อมูล (Storage) หน่วยจัดเก็บข้อมูล ซึ่งหมายถึงสื่อจัดเก็บสำรอง เช่น
Harddisk     Diskette หรือCD ทำงาน 2 ลักษณะ คือ
1 ) การ Load ข้อมูลเพื่อนำไปประมวลผล   ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บอยู่ใน Harddisk แล้ว
คุณต้องการ Load  ข้อมูลขึ้นมาแก้ไขหรือประมวลผล ข้อมูลที่ถูก Load และนำไปเก็บในหน่วยความจำ (Memory:RAM) จากนั้นส่งไปให้ CPU
2 ) การเก็บข้อมูลเมื่อประมวลผลเสร็จ    เมื่อ CPU ประมวลผลข้อมูลเสร็จ ข้อมูลนั้น
จะถูกเก็บอยู่ในหน่วยความจำ (Memory:RAM) ซึ่ง RAM จะเก็บข้อมูลเพียงชั่วขณะที่เปิดเครื่อง (Power On)  เมื่อไรที่คุณปิดเครื่อง โดยที่ยังไม่สั่งบันทึกข้อมูล (Save)   ข้อมูลก็จะหาย (Loss)   ดังนั้นหาก User  ต้องการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้ใช้งานในครั้งต่อไปจะต้องสั่งบันทึก โดยใช้คำสั่ง Save   ไฟล์ข้อมูลก็จะถูกนำไปเก็บในสื่อจัดเก็บสำรอง ได้แก่  Diskette      Harddisk    CD  หรือ  Thumb Drive แล้วแต่ว่าคุณจะเลือก Save ไว้ในสื่อชนิดใด
แสดงขั้นตอนการประมวลผล ดังภาพด้านล่าง


สามารถสรุปภาพรวมของการประมวลผลข้อมูล  ได้ดังนี้











รู้จักกับ  Processor
Processor หรือ CPU (Central Processing Unit)   หน่วยประมวลผลกลาง  จัดเป็นศูนย์กลางของเครื่องในการประมวลผลข้อมูล   เป็นชิป (Chip)  ที่รวมชุดของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อน ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับสมองของคอมพิวเตอร์  ทำหน้าที่ในการ ควบคุม   คำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic) เปรียบเทียบและประมวลผล ซึ่งภายใน CPU   แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1.  Control unit    เป็นตัวควบคุมการเข้าถึงชุดคำสั่งของโปรแกรม ควบคุมการสื่อการระหว่าง 
Memory  กับ ALU  โดยจะส่งข้อมูลและชุดคำสั่งจากสื่อจัดเก็บสำรอง (Harddisk) ไปยังหน่วยความจำ (RAM)
        2.  Arithmetic/logic unit (ALU)  ทำการคำนวณทางด้านคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์  แยกการ
ทำงานออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ ส่วนคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic)  และ ส่วนเปรียบเทียบตรรกศาสตร์ (Logic)
1 ) ส่วนคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic)   ได้แก่

เครื่องหมาย
การกระทำ
+
บวก
-
ลบ
*
คูณ
/
หาร

Note :  เป็นการคำนวณโดยใช้ระบบเลขฐานสอง

2 ) ส่วนเปรียบเทียบตรรกศาสตร์ (Logic)
ใช้ในการเปรียบเทียบข้อมูลตัวเลข       ตัวอักษร  และอักขระพิเศษ   ผลลัพธ์ที่ได้จากการเปรียบเทียบเป็นจริง (True)  หรือ  เท็จ  (False)  เท่านั้น

เครื่องหมาย
การกระทำ
= =
เท่ากับ
!=
ไม่เท่ากับ
> 
มากกว่า
> =
มากกว่าหรือเท่ากับ
น้อยกว่า
< =
น้อยกว่าหรือเท่ากับ

ความเร็วในการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์
จะวัดจากความเร็วในการประมวลผลคำสั่ง (Instruction) ต่อวินาที  โดยมีการใช้หน่วยวัดความเร็ว ดังนี้
-  Millisecond  หมายถึง  1 พันคำสั่ง / วินาที
-  Microsecond  หมายถึง  1 ล้านคำสั่ง / วินาที
-  Nanosecond  หมายถึง  1 พันล้านคำสั่ง / วินาที
-  Picosecond  หมายถึง  1 ล้านล้านคำสั่ง / วินาที

หน่วยวัดความเร็วของ  Microprocessor

จะวัดจากความเร็วของระบบเครื่องต่อรอบสัญญาณนาฬิกา (system clock)  ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้หน่วยวัดเป็น gigahertz (GHz)  แต่ใน PC รุ่นเก่าอาจวัดเป็น megahertz (MHz)   

การวัดประสิทธิ์ภาพอื่น ๆ

- Millions of Instructions per Second (MIPS)  :  เป็นวัดประสิทธิภาพสำหรับ  High-speed PC   ซึ่งเครื่องชนิดนี้สามารถทำงานได้เกิน 500 MIPS  -  Megaflop (one million floating-point operations)   ใช้วัดความสามารถของเครื่อง  ในการคำนวณที่มีความซับซ้อนสูง

2.2  หน่วยความจำ
หน่วยความจำจัดเป็นสื่อที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล (Data Storage)  สามารถจำแนกสื่อจัดเก็บข้อมูลได้ดังนี้
จำแนกตามประเภทของสื่อ
จำแนกตามความสามารถของการจัดเก็บข้อมูล
1.  Primary storage (memory)
      เป็นสื่อจัดเก็บข้อมูลหลัก  ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจำเป็นต้องมี สื่อชนิดนี้ประกอบด้วย หน่วยความจำ  RAM และ ROM
   -   RAM : Random Access Memory  จะวางอยู่นอก CPU เก็บข้อมูลและคำสั่งในการประมวลผล  เก็บข้อมูลในขณะที่โปรแกรมกำลังทำงานอยู่
ชนิดของ RAM 2  ชนิดหลัก
        1. SRAM ( Static Random Access Memory ) เก็บข้อมูลได้ระหว่างที่มีไฟหล่อเลี้ยงวงจร  โครงสร้างภายในเป็น D-Flip Flop ต่อเรียงกัน ไม่จำเป็นต้องเขียนข้อมูลซ้ำใหม่เรื่อยๆ ( Refresh) SRAM มีอัตราความเร็วมาก แต่มีราคาแพง DRAM โดยปกติแล้ว SRAM นิยมนำมาใช้ทำเป็นหน่วยความความเร็วสูง
(Cache Memory )
         2. DRAM ( Dynamic Random Access Memory ) มีความจุสูง   DRAM จะมีปัญหาเกี่ยวกับการรั่วซึมของไฟ  ต้อง Recharge  ไฟอยู่เรื่อย ๆ   หากไฟดับข้อมูลก็จะเริ่มสูญหายไป  กล่าวคือ  ต้องเขียนข้อมูลซ้ำใหม่เรื่อยๆ ( Refresh )
(http://www.student.chula.ac.th/~46802446/ram.htm)
    - ROM  : Read Only Memory
ใช้จัดเก็บโปรแกรมและข้อมูลแบบถาวร  ผู้ใช้ไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ บริษัทผู้ผลิตจะฝังชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบไว้ในชิป  ROM ไว้เรียบร้อยแล้ว  ข้อมูลจะใน ROM จะคงอยู่ถึงแม้ปิดเครื่อง
1.  Volatile storage
        สื่อจัดเก็บแบบลบเลือน  จะเก็บข้อมูลเพียงชั่วขณะ (Temporary  Storage)  ที่เปิดเครื่องเท่านั้น เมื่อปิดเครื่องข้อมูลก็จะสูญหาย  สื่อชนิดนี้ได้แก่ RAM
2.  Secondary storage
      เป็นสื่อจัดเก็บสำรอง คุณสามารถนำมาติดตั้งเพิ่มเติมในเครื่อง    เก็บข้อมูลระยะยาว  เป็นสื่อจัดเก็บที่แยกออกมาจากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์   สื่อชนิดนี้ ได้แก่ 1.  Magnetic tape
2.  Magnetic Disks   ได้แก่
      -  Diskette: มีขนาด 3.5”   ความจุ 1.44 MB
    -    Hard Disk  จัดเก็บข้อมูลได้มากกว่า  Diskette ความจุ (GB) และการผลิต HDD ปัจจุบันใช้เทคโนโลยี  Noise Guard  ขจัดเสียงรบกวนของ HDD ขณะอ่านข้อมูล  ทำให้เงียบสงบในการทำงาน และมี Impact Guard ที่รองรับแรงสั่นสะเทือน ป้องกันแรงกระแทก ปกป้อง HDD                                                 
3.  Optical Disks ได้แก่  CD-ROMs และ  
      DVD-ROMs
2.  None-Volatile storage
        สื่อจัดเก็บแบบไม่ลบเลือน  สามารถเก็บข้อมูลได้ยาวนานและถาวร ถึงแม้จะปิดเครื่องข้อมูลก็จะยังคงอยู่  สื่อประเภทนี้ ได้แก่   Harddisk, Diskette , CD-ROM  และ   Flash Memory


หน่วยความจำและอุปกรณ์สำคัญอื่น ๆ
Registers   
หน่วยความจำภายใน CPU  ทำงานภายใต้การควบคุมของ  Control unit  โดยจะ
รับข้อมูลหรือชุดคำสั่งที่ CPU จำเป็นต้องใช้งาน ทำการจัดเก็บและโยกย้ายชุดคำสั่งหรือข้อมูลกับ  Memory (RAM)

Cache Memory

หน่วยความจำความเร็วสูง  เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลชั่วขณะ   (temporary)  มีความเร็วในการส่ง
หรือโยกย้ายข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์  มีความเร็วในการเข้าถึงและถ่ายโอนข้อมูลสูง  หน้าที่หลักคือเก็บพักข้อมูลที่มีการใช้งานบ่อย ๆ เพื่อเวลาที่ CPU ต้องการใช้ข้อมูลนั้น ๆ จะดึงข้อมูลได้เร็วขึ้น  โดยจะมองหาข้อมูลใน Cache  ก่อนที่จะไปมองใน RAM  และเราสามารถจำแนก Cache  ได้ 2  แบบ   คือ Cache Level 1   จะ Build-In CPU  และ  Cache Level  2  จะวางอยู่นอก CPU
Data  path 
คือ  เส้นทางการเดินทางของข้อมูล ในที่นี้เราจะเรียกว่า BUS”  ซึ่ง   BUS เป็นเส้นทางการขนส่งข้อมูลระหว่าง CPU  กับ Memory (RAM)  และ   ขนถ่ายข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่งบนระบบ  สามารถจำแนก ประเภทของ BUS ได้ 2 ประเภทได้แก่  External BUS  และ  Internal BUS  นอกจากนี้ความกว้างของ BUS  (BUS  width) ใช้หน่วยวัดเป็น  bits   ถ้า BUS  มีกว้างมากจะทำให้ขนส่งข้อมูลได้ในปริมาณมากในเวลาหนึ่ง ๆ   ส่งผลให้ภาพรวมของระบบมีการทำงานเร็วขึ้น  ส่วนความเร็วของ BUS (BUS speed)  หมายถึงความเร็วของการขนส่งข้อมูลในระบบ  โดยปกติความเร็วของ BUS  ในเครื่อง PC จะอยู่ที่  400 หรือ 533 MHz  ใช้หน่วยวัดเป็น  Megahertz (MHz)

                                Main Circuit Board
                แผงวงจรหลัก  (Main Circuit Board / Main Board) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Mother Board  เป็นอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายในกล่อง Tower Case  มีลักษณะเป็นแผ่นกระดานเรียบ  เก็บวงจรต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์  โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่สำคัญ อาทิเช่น CPU    RAM    ROM   Cache และ BUS
ปัจจุบัน  Mainboard ประสิทธิภาพสูง ของค่ายต่าง ๆ  เช่น ABIT IS7-E2  ที่ผลิตออกมาสำหรับ Pentium 4 Prescott          ซึ่ง      เป็น CPU รุ่นใหม่ของค่าย   Intel    มีข้อแนะนำว่าการเลือกใช้ CPU   ตัวใดและของค่ายใดในการใช้งานก็ควรเลือก Mainboard ให้เหมาะสมด้วย  เช่น Mainboard Socket 478 ของ ABIT   รุ่น SI7-E2  ซึ่งมีราคาไม่สูงนัก    มีขนาดกะทัดรัด   เนื้อที่จำกัด  สามารถติดตั้งและวางชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายใน Board ได้อย่างลงตัว  การติดตั้งพัดลมระบายความร้อนของ CPU ก็มีระยะห่างที่เหมาะสม    การ์ดแสดงผล     Slot     มีระยะห่างพอดี  มีคุณสมบัติมากมายและยังสามารถทำ Over Clock ได้  ประสิทธิภาพของตัว Board เป็นที่น่าพอใจ  สามารถ Update Bios ได้
                นอกจาก Board แล้ว ปัจจุบันก็มีการออกแบบ Tower  Case  รูปทรงใหม่ โดยส่วนมากแล้วจะย้าย Port  มาไว้ด้านหน้าเพื่อง่ายต่อการเชื่อมต่ออุปกรณ์ และจะมี  Port  USB เพิ่มมากขึ้น  มี Option มากกว่าในอดีต  ฝาครอบใช้น็อตหมุนด้วยมือ  ไม่ต้องพก    ไขควง        น้ำหนักเบา      มีไฟวิ่งหน้า Case       ระบายอากาศได้ดี    บางรุ่นมีบัดลมระบายความร้อนให้ CPU ถึง 2 ตัว     มี Design  รูปหน้ารถยนต์ทรงสปอร์ต       ด้านข้างฝา Case เจาะใสให้มองเห็นอุปกรณ์ภายใน      ฝา Case ทำจากอลูมิเนียมทำให้ลบรอยคม หรือลบเหลี่ยมได้  เป็นมันเงา มีหูหิ้วด้านบนเพื่อสะดวกในการโยกย้าย











ความจุของหน่วยความจำ  (Storage Sizes)
                                อ้างอิงหน่วยความจุ  ของขนาดหน่วยความจำ (Memory)  ได้ดังนี้
                                1.  KB  (Kilobyte) มีความจุ  1,024  ตัวอักษร (bytes) หรือคำนวณได้โดยใช้ 2^10     
                                     ใช้กับแผ่น Diskette
                                2.  MB  (Megabyte) มีความจุเป็นล้าน (million)  หรือคำนวณได้โดยใช้ 2^20
                                      ใช้กับ CD-ROM  และ  Thumb Drive
                                3.  GB  (Gigabyte)  มีความจุเป็นพันล้าน  (billion)  หรือคำนวณได้โดยใช้ 2^30
                                      ใช้กับ Harddisk
                                4.  TB   (Terabyte)  มีความจุเป็นล้านล้าน (trillion)  หรือคำนวณได้โดยใช้ 2^40
                                      ใช้กับ Harddisk  ความจุสูงชนิดพิเศษที่นำไปใช้งานเป็นเครื่อง Server

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการประมวลผล (Factors Affecting Processing Speed)
        มีองค์ประกอบ 5 ส่วนหลัก ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการประมวลผลของเครื่อง
1. หน่วยความจำภายใน CPU (Registers)   ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและชุดคำสั่งในขณะที่ CPU ทำการ
ประมวลผล  ดังนั้นขนาดความจุของ Registers  จึงมีผลโดยตรงต่อการประมวลผลในแต่ละครั้ง   Registers   มีขนาดตั้งแต่ 32- 64 bit ซึ่งปัจจุบันอาจจะมากกว่านี้  ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้า  Registers   ความจุมาก  CPU ก็จะประมวลผลได้เร็วขึ้น
2.  หน่วยความจำหลัก (RAM) มีผลโดยตรงต่อความเร็วในการประมวลผลของระบบ 
ถ้าเครื่องของคุณ มี RAM มากก็จะสามารถเก็บข้อมูลและชุดคำสั่งได้มาก  CPU จะเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ใน RAM ได้เร็วกว่าที่อยู่ใน Disk   ส่งผลให้เครื่องทำงานได้เร็ว   ในขณะประมวลผลหากหน่วยความจำของเครื่องไม่พอที่จะ Load ข้อมูล (Not  Enough  Memory)  CPU จะทำการสลับข้อมูลที่อยู่ใน RAM ไปไว้ที่ Disk เพื่อให้มีพื้นที่ ใน RAM เพียงพอที่จะ Load ข้อมูลซึ่งเมื่อเกิดการสลับก็จะทำให้การทำงานนั้นช้า  และส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของระบบ
3.  ระบบสัญญาณนาฬิกา (System Clock)  ถูกออกแบบมาสำหรับใช้กับ  CPU  โดยเฉพาะ  ซึ่งสร้างมา
จากสารผลึกแก้วโดยใช้การสั่นสะเทือนในการทำงาน  เสียงดัง   ติ๊ก (tick)”   คือ  ช่วงเวลาที่ตัว transistor จะส่งสัญญาณ On และ Off  เราจะเรียกช่วงของเสียงดัง ติ๊ก นี้ว่า Clock cycles”  และใช้หน่วยวัดเป็น Hertz (Hz)  โดยจะวัด 1 รอบสัญญาณนาฬิกาต่อ 1 วินาที  ถ้าคอมพิวเตอร์มี clock  speed   300 MHz  จะมีเสียงดังติ๊ก  300 ล้านครั้ง/วินาที    การเดินของนาฬิกาจะเร็วมาก  ในขณะที่นาฬิกาเดินนั้นก็จะมีการประมวลผลคำสั่งทุก ๆ วินาที
4.  เส้นทางในการขนส่งข้อมูล (BUS)   ความกว้าง (BUS  Width)  และความเร็ว (Bus Speed)  ของ Bus  
ส่งผลต่อปริมาณในการขนส่งข้อมูลในระบบ
5. หน่วยความจำความเร็วสูง  (Cache memory)  จะเก็บข้อมูลและชุดคำสั่งปัจจุบัน ที่ CPU  load อยู่
โดย CPU  จะทำการค้นหาข้อมูลจาก Cache  ก่อนที่จะไปค้นใน   RAM และสามารถเข้าถึง (access) ข้อมูลใน  Cache ได้เร็วกว่า  RAM  ถ้าเป็น Cache Level-2 (L2)  จะวางอยู่นอก CPU สามารถถอดออกหรือเสียบเข้าได้  ดังนั้นคุณจึงสามารถซื้อเพิ่มได้  ถ้าในเครื่องมี Cache   มากก็จะมีผลกระทบโดยตรงต่อความเร็วของระบบเครื่อง นั่นก็คือ เครื่องจะทำงานได้เร็วขึ้น





















2.3  รหัสแทนข้อมูล (Data Representation)
                                ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์ จะทำงานกับตัวเลขโดยอาศัยระบบเลขฐาน
ระบบเลขฐาน
ระบบเลขฐาน
ชื่อภาษาอังกฤษ
ตัวเลขที่ใช้
2
Binary
0-1
3
Ternary
0-2
4
Quarternary
0-3
5
Quinary
0-4
6
Senary
0-5
7
Septernary
0-6
8
Octenary
0-7
9
Nonary
0-8
10
Denary/Decimal
0-9
11
Undenary
0- A
12
Duodenary
0- A, B
13
Tredenary
0- A, B,C
14
Quatuordenary
0- A, B,C,D
15
Quidenary
0- A, B,C,D,E
16
Hexadenary
0- A, B,C,D,E,F
ระบบเลขฐานในคอมพิวเตอร์
ข้อมูลที่ป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ จะถูกแปลงให้เป็นข้อความและตัวเลขเพื่อแสดงผลต่อผู้ใช้  แต่ในกระบวนการทำงานนั้นคอมพิวเตอร์จะใช้ระบบตัวเลขฐานสอง (binary number system)  แต่มนุษย์เราจะใช้ระบบตัวเลขฐานสิบ (decimal system/ Denary) ซึ่งในระบบเลขฐานสองนั้นจะแทนด้วยตัวเลข 0  กับ 1
0              หมายถึง  ไม่มีสัญญาณไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่เครื่อง  เช่นเดียวกับการปิดสวิตซ์ไฟฟ้า ( Off/False)
1              หมายถึง  มีสัญญาณไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่เครื่อง เช่นเดียวกับการเปิดสวิตซ์ไฟฟ้า (On/True)       

Base 10
Base 2
0
0
1
1
2
10
3
11
4
100
5
101
6
110
7
111
8
1000
9
1001

โครงสร้างข้อมูล
1.  Bit  คือ  หน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูล   มี 2 ค่าที่เป็นไปได้คือ 0 และ 1ไม่สามารถที่จะเป็นค่าว่างได้
2.  Byte   คือ  การรวมกันตั้งแต่  8 bits  ซึ่ง  8   bit  เท่ากับ 1 byte   (1 byte หมายถึง  1 ตัวอักษร)
3.  Field  คือ  การนำ Byte  มารวมกันแล้วได้ความหมายเกิดเป็นข้อมูลในแนวตั้ง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
    “Column”
4.  Record คือ  การนำ Field หลาย Field  มารวมกันแล้วได้ความหมายเกิดเป็นข้อมูลในแนวนอน เรียกอีกชื่อ
     หนึ่งว่า “Row”
5.  File  คือการรวมกันของ  Record  แล้วเกิดเป็นแฟ้มข้อมูล  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  “Table”

ฐานข้อมูล (Database)   หมายถึง  การนำแฟ้มที่จัดเก็บข้อมูลลักษณะเดียวกัน ประเภทเดียวกัน แฟ้มข้อมูลเหล่านั้นทำงานสัมพันธ์กัน  โดยนำมาจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน เช่น ฐานข้อมูลพนักงาน  อาจประกอบไปด้วยหลายแฟ้มข้อมูล  เช่น  แฟ้มประวัติพนักงาน  แฟ้มผลการประเมินและการปฏิบัติงาน  แฟ้มเงินเดือน  เป็นต้น



รหัสแทนข้อมูล
มี 3 ประเภท  ได้แก่
1. ASCII  Code (American Standard Code for Information Interchange) นิยมใช้มากสุดบนเครื่อง PC และ Mini Computer   ใช้  8 bit  ในการแทน  1  ตัวอักษร สามารถแทนข้อมูลได้ 2^8=256  แบบ (256  ตัวอักษร รวมอักขระพิเศษ)

ตารางค่ารหัส   ASCII  Code
อักษรตัวพิมพ์ใหญ่
อักษรตัวพิมพ์เล็ก
ตัวอักษร
เลขฐานสิบ
ตัวอักษร
เลขฐานสิบ
A
65
a
97
B
66
b
98
C
67
c
99
D
68
d
100
E
69
e
101
F
70
f
102
G
71
f
103
H
72
h
104
I
73
i
105
J
74
j
106
K
75
k
107
L
76
l
108
M
77
m
109
N
78
n
110
O
79
o
111
P
80
p
112
Q
81
q
113
R
82
r
114
S
83
s
115
T
84
t
116
U
85
u
117
V
86
v
118
W
87
w
119
Z
88
x
120
Y
89
y
121
Z
90
z
122
Note:   ASCII Code 8 Bit สามารถแทนค่าข้อมูลได้ตั้งแต่ 0-255  รวมแล้ว 256 ตัวอักขระ

2. EBCDIC  Code  (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) นิยมใช้บนเครื่อง Mainframe    ใช้  8  bit  ในการแทน  1 ตัวอักษร    สามารถแทนข้อมูลได้ 2^8=256  แบบ
3. Unicode  ใช้ 16 bit ในการแทนข้อมูล ซึ่งจะสามารถแทนข้อมูลได้ 2^16=65,536 แบบ โดยที่ 256 ตัวแรกของ  Unicode จะเหมือนกับของ  ASCII    โดยรหัส Unicode   จะถูกนำไปใช้กับระบบปฏิบัติการ (OS) เช่น Windows2000    WindowsNT  และ   OS/2

การแปลงเลขฐาน
                สามารถแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง ได้ 2 วิธี
1.        การนับจำนวนค่าของจำนวน Bit
ตัวอย่าง :  จงแปลงอักษรตัว  “a”  เป็นเลขฐานสอง
                                Solve : จากตารางค่ารหัส ASCII  พบว่า “a” มีค่าเท่ากับ 97 สามารถให้ค่า Bit ได้ดังนี้


2.        การหารสั้น
Solve:


ที่มา
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/joemsiit-web1/Bloom_/Bloom1.htm