วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

การทำนาเกลือ


   
การทำนาเกลือ


         ความรู้เกี่ยวกับเกลือ                                                                                                                  
         เกลือเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง มีชื่อทางเคมีว่า “โซเดียมคลอไรด์” (NaCl) มี ลักษณะเป็นผลึกสีขาว รสเค็ม เกลือเป็นอาหารธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ และสัตว์มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ต้องบริโภคเกลือประมาณวันละ 5-10 กรัม เพื่อนำไปช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้เซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้เกลือยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้มากมายเช่น ปรุงอาหาร ถนอมอาหาร ผสมกับน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความเย็น ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสารเคมีต่างๆ ได้แก่ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3) หรือโซดาทำขนมโซเดียมคาร์บอเนต (NaCO3) หรือโซดาแอส โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือโซดาไฟ และ ไฮโดรคลอริก(HCl) หรือกรดเกลือ เป็นต้น

         ประเภทของเกลือ
         การผลิตเกลือของประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เกลือทะเลหรือเกลือสมุทรและเกลือหินหรือเกลือสินเธาว์ โดยแต่ละประเภทมีที่มาแตกต่างกัน ดังนี้
         1. เกลือทะเลหรือเกลือสมุทร (Sea Salt) คือเกลือที่ผลิตขึ้นโดยการนำน้ำทะเลขึ้นมาตากแดดให้น้ำระเหยไปเหลือแต่ผลึก เกลือตกอยู่ (Solar Evaporation System) เกลือ ประเภทนี้มีการผลิตและการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณและถือเป็นอาชีพเก่าแก่อาชีพ หนึ่งของโลกและของคนไทย โดยได้มีการกำหนดเป็นสินค้าเกษตรกรรมขั้นต้นตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509
         2. เกลือหินหรือเกลือสินเธาว์ (Rock Salt) คือเกลือที่ทำจากดินที่น้ำชะดินละลายแล้วแห้งปรากฎเป็นคราบเกลือติดอยู่บนผิว ดิน เรียกว่า “ส่าดิน” เมื่อน้ำผิวดินหรือส่าดินมาละลายน้ำ แล้วต้มจะได้เกลือสินเธาว์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 ได้มีการค้นพบเกลือหินที่อยู่ใต้ดินในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้รูปแบบการผลิตเกลือสินเธาว์เปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้เกลือหินแทน โดยใช้วิธีฉีดน้ำลงไปละลายเกลือในบ่อเกลือ หรือใช้วิธีสูบน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมาตากแดด หรือโดยการต้มเพื่อให้ได้ตะกอนเกลือ และหากใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยสามารถผลิตได้ตลอดปี
         ปัจจุบัน เกลือหินได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายและเป็นคู่แข่งกับเกลือทะเล เพราะสามารถใช้ทดแทนกันได้ แต่เกลือหินมีข้อแตกต่างจากเกลือทะเลที่ไม่มีธาตุไอโอดีน (ป้องกันโรคคอหอยพอกและโรคเอ๋อ) และได้ถูกกำหนดเป็นสินค้าอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510

         การผลิตเกลือ
         การผลิตเกลือทะเลหรือเกลือสมุทร
         การทำเกลือทะเลต้องใช้น้ำทะเลเป็นวัตถุดิบ ดังนั้นแหล่งผลิตจึงต้องอยู่บริเวณใกล้ชายฝั่งทะเล ถึงแม้ประเทศไทยจะมีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,600 กิโลเมตร แต่แหล่งที่เหมาะสมสำหรับการผลิตเกลือทะเลมีค่อนข้างจำกัดคือ ต้องมีลักษณะทางภูมิประเทศเป็นที่ราบ สภาพดินต้องเป็นดินเหนียว สามารถอุ้มน้ำได้ดีป้องกันไม่ให้น้ำเค็มซึมลงไปใต้ดิน และป้องกันไม่ให้น้ำจืดซึมขึ้นมาบนดิน มีกระแสลมและแสงแดดช่วยในการตกผลึกเกลือ
         แหล่งผลิตที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
          1. กลุ่มที่มีการผลิตมาก ประมาณร้อยละ 90.0 ของผลผลิตทั้งประเทศ อยู่ที่ 3 จังหวัดภาคกลาง คือ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม
          2. กลุ่มที่มีการผลิตเล็กน้อย ประมาณร้อยละ 10.0 ของผลผลิตทั้งประเทศ อยู่ที่ 4 จังหวัดในภาคกลางและภาคใต้ คือ จังหวัดชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา และปัตตานี
        ประเทศไทยมีพื้นที่ทำนาเกลือทั้งหมดประมาณ 81,485 ไร่ โดยจังหวัดเพชรบุรีมีพื้นที่มากที่สุด ร้อยละ 47.0 รองลงมาได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ร้อยละ 43.1 จังหวัดสมุทรสงคราม ร้อยละ 7.7 จังหวัดชลบุรี ร้อยละ 1.0 จังหวัดจันทบุรี ร้อยละ 0.6 จังหวัดปัตตานี ร้อยละ 0.4 และจังหวัดฉะเชิงเทรา ร้อยละ 0.2 ตามลำดับ

         ฤดูการผลิตเกลือทะเล
         การทำนาเกลือในภาคกลางจะเริ่มในช่วงฤดูแล้งตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ถึงประมาณกลางเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป ระยะเวลาประมาณ 6-7 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเนื่องจากการทำนาเกลือไม่สามารถจะทำได้ในช่วงฤดูฝน และจะเริ่มเก็บผลผลิตเกลือได้ประมาณกลางเดือนมกราคม เป็นต้นไป
         สำหรับการนำเกลือในภาคใต้ที่จังหวัดปัตตานี มีระยะเวลานานกว่าภาคกลางโดยสามารถผลิตได้ปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน ประมาณ 5 เดือน และครั้งที่สองเริ่มประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ประมาณ 3 เดือน รวมมีช่วงการผลิตประมาณ 8 เดือน ส่วนในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม จะมีฝนตกชุกไม่สามารถทำนาเกลือได้
ผลผลิต
        ผลผลิตเกลือทะเลในสภาพอากาศปกติ โดยเฉลี่ยทั้งประเทศมีประมาณปีละ 990,000 ตัน(ผลผลิตปี 2550 - 2553) ผลผลิตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศว่าปีใดมีฝนตกมากหรือน้อย
        ต้นทุนการผลิต
        ต้นทุนการผลิตเกลือทะเล ส่วนใหญ่จะเป็นต้นทุนด้านค่าจ้างแรงงาน รองลงมาเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ผลิตคือน้ำทะเลไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยประมาณ 737 บาทต่อตัน
        ผลพลอยได้
         1. สัตว์น้ำทะเลต่างๆ เกษตรกรชาวนาเกลือที่มีพื้นที่กักเก็บน้ำทะเล (วัง) ก็จะมีสัตว์น้ำทะเลต่างๆ เช่น กุ้งขาว กุ้งแชบ๊วย ปลาหมอเทศ ปลากระพง ปูทะเล ฯลฯ อยู่ภายในวัง เป็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบธรรมชาติเพื่อเป็นรายได้เสริมทางหนึ่ง
         2. น้ำเค็ม เนื่องจากน้ำในนาเกลือมีความเค็มมากกว่าน้ำทะเล เกษตรกรชาวนาเกลือสามารถจำหน่ายน้ำเค็มให้กับเกษตรกรชาวนากุ้ง เพื่อนำไปผสมกับน้ำปกติเพื่อใช้เพาะเลี้ยงกุ้ง
         3. เกลือจืด (ยิปซั่ม) เกลือจืดหรือยิปซั่มเป็นสินแร่ที่เกิดในนาเกลือเฉพาะแปลงที่ใช้กักเก็บน้ำแก่ (นารองเชื้อและนาเชื้อ) เกลือจืดจะเกิดอยู่บนหน้าดิน เกษตรกรชาวนาเกลือจะทำเกลือจืดในฤดูฝน หลังจากหมดฤดูทำนาเกลือแล้ว โดยจะขังน้ำฝนไว้ในแปลงนาที่มีเกลือจืด แล้วรวบรวมเกลือจืดเข้าเป็นกองๆ จากนั้นก็จะร่อนและล้างเอาเศษดินเศษโคลนออกให้เหลือแต่เม็ดเกลือจืดที่แข็ง คล้ายทรายหยาบๆ และไม่ละลายน้ำ
            การทำเกลือจืดมักเป็นงานของผู้หญิงที่รวมกลุ่มกัน 4-5 คน ช่วยกันทำ เป็นงานที่ไม่หนักเหมือนการทำนาเกลือ แต่เป็นงานที่ช้าและเสียเวลา รวมทั้งต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาที่ทำเกลือจืด โดยปกติราคาเกลือจืดจะสูงกว่าเกลือทะเล สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตปูนปลาสเตอร์ ทำยาสีฟันชนิดผง และแป้งผัดหน้า เป็นต้น
         4. ดีเกลือ การทำดีเกลือจะทำแปลงเฉพาะไม่ปนกับแปลงนาเกลือ โดยนำน้ำจากการรื้อเกลือแต่ละครั้งไปขังรวมกันไว้ ทิ้งไว้ระยะหนึ่งก็จะมีดีเกลือเกิดขึ้นเกาะอยู่ตามพื้นนา เกษตรกรชาวนาเกลือจะเก็บดีเกลือทุกวันในเวลาเช้าก่อนแดดออก (ถ้าแดดจัดดีเกลือจะละลายไปกับน้ำ) ดีเกลือชนิดนี้จะเป็นเม็ดสีขาวมีรสขม นำไปใช้ประกอบเป็นเครื่องยาไทยโบราณประเภทยาระบายหรือยาถ่าย และน้ำที่อยู่ในนาดีเกลือจะมีความเค็มจัดมากเรียกว่า “น้ำดีเกลือ” นำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการทำเต้าหู้ เป็นสารทำให้เต้าหู้แข็งตัว
         5. ขี้แดด เป็นส่วนที่อยู่บนผิวดินของนาเกลือ มีลักษณะเป็นแผ่นร่อนอยู่บนผิวนา ซึ่งเกษตรกรชาวนาเกลือต้องทำการเก็บขี้แดดก่อนทำการบดดินตอนต้นฤดูการทำนาเกลือ ขี้แดดนี้สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยปลูกพืชได้

         การตลาดเกลือทะเลภายในประเทศ
         การผลิตเกลือทะเลในรูปของเกลือเม็ด จะถูกรวบรวมโดยพ่อค้าคนกลางประเภทพ่อค้าท้องที่และพ่อค้าท้องถิ่น โดยพ่อค้าคนกลางจะไปรับซื้อถึงฟาร์มของเกษตรกรทั้งทางบกและทางน้ำ และในบางท้องที่เกษตรกรจะขายผ่านสหกรณ์การเกษตรที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ จากนั้นสินค้าเกลือทะเลจะไหลเวียนไปยังแหล่งต่างๆ ได้แก่ โรงโม่เกลือ โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร และโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ก่อนจะกระจายไปถึงผู้บริโภค
         ตลาดเกลือทะเลภายในประเทศ เมื่อพิจารณาตามคุณภาพสินค้าที่นำเกลือทะเลไปประกอบใช้เป็นวัตถุดิบในขบวนการผลิต สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
         1. เกลือคุณภาพสูง คือ กลุ่มที่ต้องการเกลือทะเลที่มีความบริสุทธิ์ ประมาณร้อยละ 99.9 มีสิ่งเจือปนต่ำ โดยนำไปใช้ทำประโยชน์ต่างๆ ได้แก่ การใช้ในการสร้างเรซิน การผลิตกระจก การผลิตเคมีภัณฑ์ต่างๆ และใช้ในการบริโภค
         2. เกลือคุณภาพปานกลาง คือ กลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องใช้เกลือที่มีความบริสุทธิ์มากนัก ได้แก่ การนำไปใช้บริโภค การถนอมอาหาร การผลิตอาหารสัตว์ และการฟอกย้อม เป็นต้น
         3. เกลือคุณภาพปานกลางถึงต่ำเป็นเกลือที่มีความบริสุทธิ์น้อยกว่าสองกลุ่มแรกและมี สิ่งเจือปนพอสมควร มักนิยมใช้ในอุตสาหกรรมบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น

         ราคาเกลือทะเล
         เกลือทะเลมีหน่วยการขายเป็นเกวียนโดย 1 เกวียนเท่ากับ 1,500 กิโลกรัม ราคาเกลือทะเลที่เกษตรกรขายได้ในฤดูการผลิตปี พ.ศ. 2550 - 2553 ไม่ค่อยคงที่ ราคาเกลือโดยปกติจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทาน โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 - 2553 มีราคาเฉลี่ยดังภาพด้านล่าง

alt


        การนำเข้าและการส่งออกเกลือทะเล
        1. การนำเข้าเกลือทะเล เกลือสามารถนำเข้าเสรีโดยชำระภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ปี 2550 - 2553 ประเทศไทยมีการนำเข้าเกลือทะเลประมาณปีละเฉลี่ย 7,383.5 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 78 ล้านบาท ซึ่งโดยปกติการนำเข้าเกลือทะเลจากต่างประเทศจะนำเข้ามากเฉพาะในปีที่ขาดแคลนภายในประเทศเท่านั้น ประเทศที่ไทยสั่งนำเข้า ได้แก่ เวียดนาม ออสเตรเลีย และมาเลเซีย เป็นต้น


2550255125522553
ปริมาณการนำเข้า (ตัน)1,0532,86823,3072,306
มูลค่าการนำเข้า (ล้านบาท)2.1568.47757.14211.213*

(* ม.ค. - พ.ย. 53)     ที่มา : กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

        2. การส่งออกเกลือทะเล ประเทศไทยมีการส่งออกเกลือทะเลมานานแล้ว แต่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีคู่แข่งมาก ได้แก่ สาธารณรัฐปราะชาชนจีน เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วประเทศไทยมีการส่งออกประมาณปีละ 1,900 ตัน คิดเป็นมูลค่า 5 ล้านบาท โดยประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ได้แก่ มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา

2550255125522553
ปริมาณการส่งออก (ตัน)1,4362,3233,924224
มูลค่าการส่งออก (ล้านบาท)2.0885.17010.8862.232*
(* ม.ค. - พ.ย. 53)     ที่มา : กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์



     ศูนย์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สำนักปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. “เกลือทะเล (Solar Salt).” [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://surat.stkc.go.th/surat-travelguide-culturelocalwisdom-localwisdom-saltedegg-ingredients-salt สืบค้น 15 ธันวาคม 2552.
     กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน. สำนักพัฒนามาตรฐานแรงงาน. 2548. รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการสำรวจงานทำนาเกลือ. กรุงเทพมหานคร : กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน

     กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. สถานการณ์เกลือทะเลเดือนธันวาคม 2553. เข้าถึงได้จาก http://agri.dit.go.th/web_dit_sec7/admin/uploadfiles/upload_files/%E0%B8%98.%E0%B8%84.53_p.pdf สืบค้นวันที่ 31 มกราคม 2554

ทฤษฏีการกำเนิดโลก



Posts filed under ‘ทฤษฏีการกำเนิดโลก’

ทฤษฏีการกำเนิดโลก

การกำเนิดโลก
ความคิดเกี่ยวกับการกำเนิดของโลกมีมากมายแต่สามารถแบ่งเป็น   2   ทฤษฎีหลักๆ    ได้แก่   ทฤษฎีเนบูลา  (nebular)
และต่อมาได้พัฒนาเป็นทฤษฎีโปรโตแพลเนต (protoplanet)  และทฤษฎีพลาเนตติซิมัล (planetesimal) (ภาพที่ 2 และ 3)
1. ทฤษฎีเนบูลา  (nebular hypothesis) ทฤษฎีโปรโตแพลเนต (protoplanet) อธิบายว่าสารที่เป็นต้นกำเนิดของดวงอาทิตย์
และดาวเคราะห์เป็นกลุ่มของเนบูลาซึ่งประกอบด้วยแก๊สและฝุ่นในท้องฟ้า ต่อมากลุ่มเนบูลาเหล่านี้ได้หดตัวและเกิดการหมุนขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะแรก และทวีความเร็วขึ้นในระยะหลังทำให้เกิดจุดศูนย์กลางและมีวงแหวนหมุนรอบจุด ศูนย์กลางได้มวลสารรวมกันเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดศูนย์กลาง การหดตัวเนื่องจากแรงดึงดูดนี้ทำให้เกิดความร้อนขึ้น กลุ่มแก๊สแต่ละกลุ่ม แต่ละวงแหวนได้ก่อกำเนิดเป็นดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ กรณีนี้โลกอายุเท่ากับดวงอาทิตย์

การกำเนิดโลกตามทฤษฎีเนบูลา (nebular hypothesis)
ภาพที่ 1แสดงการกำเนิดโลกตามทฤษฎีเนบูลา
ทฤษฎีโปรโตแพลเนต กล่าวว่าในอวกาศมีกลุ่มหมอก ฝุ่นละออง และแก๊ส ลอยอยู่ ซึ่งต่อมาเกิดการหดตัวด้วยแรงดึงดูดของมวลของตัวเอง เกิดการรวมตัวกันเข้าสู่ศูนย์กลางหลายจุดซึ่งเป็นอิสระต่อกัน แต่ในที่สุดจุดศูนย์กลางเหล่านั้นถูกบีบอัดเข้าด้วยกันจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ และมีสสารแยกตัวออกเป็นแผ่นบางๆ เหมือนจานลอยอยู่โดยรอบดวงอาทิตย์ แรงเสียดทานภายในจานดังกล่าวทำให้เกิดการไหลคล้ายกระแสน้ำวนในจาน  ทำให้จานแตกแยกตัวออกเป็นมวลที่อัดแน่น เรียกว่าโปรโตแพลเนต (protoplanet) หลายๆ ชิ้น  ซึ่งในที่สุดกลายเป็นดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งโลกด้วย สำหรับส่วนที่หลุดออกไปนอกวงโคจรจะกลายเป็น ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์น้อย
2. ทฤษฎีพลาเนตติซิมัล (planetesimal hypothesis) อธิบายว่าโลกแยกตัวจากดวงอาทิตย์ โดยเกิดจากการโคจรผ่านเข้ามาของดาวขนาดใหญ่มากดวงหนึ่ง แรงดึงดูดของดาวดวงนี้ได้ดึงเอาส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์แยกออกไปเกิดเป็นดาว เคราะห์ต่างๆ ขึ้น กรณีนี้โลกของเรามีอายุน้อยกว่าดวงอาทิตย์
ภาพที่ 2 ทฤษฎีเนบูลา
ภาพที่ 3 ทฤษฎีพลาเนตติซิมัล

ภาพที่ 4 แสดงจุดกำเนิดโลก

 ที่แบ่งชั้นแก่นโลก เป็นแก่นโลกชั้นนอก (outer core)
และแก่นโลกชั้นใน (inner core) ท่านคิดว่าเขานำเกณฑ์อะไรมาแบ่ง
ตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมกันของฝุ่นและแก๊สที่อยู่ตอน ปลายของเกลียวด้านหนึ่งของกาแล็กซี กลุ่มแก๊ส หมอก และละอองฝุ่นเหล่านั้นได้เคลื่อนเข้ามารวมกันเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปี และมีการปลดปล่อยพลังงานในรูปความร้อนประมาณ 5,000 องศาเซลเซียส เกิดการหลอมรวมกันเป็นโลก  และหลังจากนั้นโลกได้ใช้เวลาร่วม 100 ล้านปีในการคายความร้อน เพื่อจะทำให้เย็นตัวลง ส่วนของเหล็ก และนิเกิล ที่อยู่ในรูปของธาตุแร่ร้อนที่มีน้ำหนักมากความหนาแน่นสูงกว่าธาตุอื่นๆ ได้จมตัวลงไปสู่ศูนย์กลางกลายเป็นแก่นโลก (core) โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ แก่นโลกชั้นใน มีรัศมีประมาณ 1,278 กิโลเมตร และแก่นโลกชั้นนอกความหนาประมาณ 2,200 กิโลเมตร ส่วนธาตุที่มีน้ำหนักเบากว่าส่วนมากจะมีธาตุซิลิกอนและอะลูมิเนียมเป็นองค์ ประกอบ จะถูกยกให้เคลื่อนขึ้นสู่ตอนบนและพื้นผิวและแข็งตัวเป็นเปลือกโลก (crust) ซึ่งมีความหนาประมาณ 5-40 กิโลเมตร และชั้นเนื้อโลก (mantle) ซึ่งอยู่ระหว่างชั้นแก่นโลกกับเปลือกโลกเป็นมวลของหินร้อนมีความหนาประมาณ 2,885 กิโลเมตร ดังภาพที่ 5 และความร้อนภายในโลกส่วนใหญ่จะถูกปลดปล่อยด้วยการนำพาขึ้นสู่เปลือกโลกจาก การเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
 
การที่นักวิทยาศาสตร์ รู้ว่าภายในโลกของเรามีโครงสร้างดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนหนึ่งได้จากการที่ลาวาจากภูเขาไฟได้นำพาหินชั้นเนื้อโลกขึ้นมาสู่ผิวโลกให้เราเห็น ซึ่งส่วนหนึ่งเราได้ข้อมูลจากการวัดคลื่นสะท้อนที่เกิดจากแผ่นดินไหว ซึ่งนับเป็นประโยชน์ของแผ่นดินไหวข้อเดียวที่ทำให้เรารู้จักโครงสร้างภายในของโลกของเราดีขึ้น (ดูรายละเอียดในหัวข้อแผ่นดินไหว)
ภาพที่ 5 แสดงลักษณะชั้นต่างๆ และโครงสร้างภายในของโลก

 ที่มา  http://maneesudalpru.wordpress.com

น้ำหมักชีวภาพ ทำง่าย ประโยชน์เพียบ




น้ำหมักชีวภาพ ทำง่าย ประโยชน์เพียบ

น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สสส.

          ช่วงนี้เราอาจจะได้ยินชื่อ "น้ำหมักชีวภาพ" บ่อยขึ้น ว่าแต่เพื่อน ๆ รู้จักไหมว่า จริง ๆ แล้ว "น้ำหมักชีวภาพ" คืออะไร บริโภคได้หรือไม่ แล้วเราจะทำน้ำหมักชีวภาพขึ้นมาใช้เองได้อย่างไร เอ้า...ตามมาดูกันเลย

          น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ ตามแต่จะเรียก เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืช หรือสัตว์ กับสารที่ให้ความหวาน จนถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะได้สารละลายเข้มข้นสีน้ำตาล ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด 

          เดิมทีนั้นจุดประสงค์ของการคิดค้น "น้ำหมักชีวภาพ" ขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ แต่ช่วงหลังก็มีการนำน้ำหมักชีวภาพ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นเช่นกัน คือ

           ด้านการเกษตร น้ำหมักชีวภาพ มีธาตุอาหารสำคัญ ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม กำมะถัน ฯลฯ จึงสามารถนำไปเป็นปุ๋ย เร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น และยังสามารถใช้ไล่แมลงศัตรูพืชได้ด้วย

           ด้านปศุสัตว์ สามารถช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น น้ำเสียจากฟาร์มสัตว์ได้ ช่วยป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนการให้ยาปฏิชีวนะ ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ช่วยกำจัดแมลงวัน ฯลฯ

           ด้านการประมง ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ  ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กบ จระเข้ได้ ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมเป็นปุ๋ยหมักใช้กับพืชต่าง ๆ ได้ดี

           ด้านสิ่งแวดล้อม น้ำหมักชีวภาพ สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่วไป แถมยังช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่น และมีสภาพดีขึ้น

          ประโยชน์ในครัวเรือน เราสามารถนำน้ำหมักชีวภาพ มาใช้ในการซักล้างทำความสะอาด แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน รวมทั้งใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ได้ด้วย

          เห็นประโยชน์ใช้สอยของ น้ำหมักชีวภาพ มากมายขนาดนี้ ชักอยากลองทำน้ำหมักชีวภาพดูเองแล้วใช่ไหมล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำหมักชีวภาพ มีหลายสูตรตามแต่ที่ผู้คิดค้นขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ กัน วันนี้เราก็มี วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ แบบง่าย ๆ มาฝากกันด้วย

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการเกษตร

          เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ ในการทำน้ำหมักชีวภาพ ได้

          ส่วนผสม : เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยสับเป็นชิ้นเล็ก 3 ส่วน, กากน้ำตาล 1 ส่วน (อาจใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว ผสมน้ำมะพร้าว 1 ส่วนแทนได้) น้ำเปล่า 10 ส่วน

          วิธีทำ : นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้ากัน แล้วบรรจุลงในถังหมักพลาสติก หรือขวดปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 3 เดือน แล้วจึงสามารถนำไปใส่เป็นปุ๋ยให้พืชผักผลไม้ได้ โดย

           ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อบำรุงใบพืชผักผลไม้

           ใช้น้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้ดินร่วนซุย

           ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน เพื่อกำจัดวัชพืช

          ทั้งนี้ มีเทคนิคแนะนำว่า หากต้องการบำรุงส่วนใบพืช ก็ให้ใช้ส่วนใบยอดพืชมาหมัก หากต้องการบำรุงผล ให้ใช้ส่วนผล เช่น กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก เปลือกสับปะรด ฟักทองมาหมัก หรือหากต้องการใช้กำจัดศัตรูพืข ควรหมักสะเดา ตะไคร้หอม ข่า แยกต่างหากด้วย เมื่อจะใช้ก็นำมาผสมฉีดพ่นพืชผักผลไม้

          นอกจากนี้ หากใช้สายยางดูดเฉพาะน้ำใส ๆ จากน้ำหมักชีวภาพที่หมักได้ 3 เดือนแล้วออกมา จะเรียกส่วนนี้ว่า "หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ" เมื่อนำไปผสมอีกครั้ง แล้วหมักไว้ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพอายุ 5 เดือน ซึ่งหากขยายต่ออายุทุก ๆ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อที่อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสิทธิภาพสูงมากขึ้น

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการซักล้าง

          น้ำหมักชีวภาพ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการซักล้างได้ โดยมีสูตรให้นำผลไม้ เปลือกผลไม้ (ฝักส้มป่อย , มะคำดีควาย , มะนาว ฯลฯ) 3 ส่วน น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อย 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง แล้วหมั่นเปิดฝาคลายแก๊สออก โดยต้องวางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพ สำหรับซักผ้า หรือล้างจานได้ ซึ่งสูตรนี้แม้ว่าผ้าจะมีราขึ้น หากนำผ้าไปแช่ทิ้งไว้ในน้ำหมักชีวภาพก็จะสามารถซักออกได้


น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ


วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อดับกลิ่น

          สูตรหนึ่งของการทำน้ำหมักชีวภาพมาดับกลิ่น คือ ใช้เศษอาหาร พืชผัก ผลไม้ที่เหลือทิ้ง 3 ส่วน กากน้ำตาลหรือโมลาส 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน  ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ กลิ่นปัสสาวะสุนัข ฯลฯ ได้อย่างดี

ข้อควรระวังในการใช้ น้ำหมักชีวภาพ

           1. หากใช้น้ำหมักชีวภาพกับพืช ต้องใช้ปริมาณเจือจาง เพราะหากความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต และตายได้

           2. ระหว่างหมัก จะเกิดก๊าซต่าง ๆ ในภาชนะ ดังนั้นต้องหมั่นเปิดฝาออก เพื่อระบายแก๊ส แล้วปิดฝากลับให้สนิททันที

           3. หากใช้น้ำประปาในการหมัก ต้องต้มให้สุก เพื่อไล่คลอรีนออกไปก่อน เพราะคลอรีนอาจเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก

           4. พืชบางชนิด เช่น เปลือกส้ม ไม่เหมาะในการทำน้ำหมักชีวภาพ เพราะน้ำมันที่เคลือบผิวเปลือกส้มเป็นพิษต่อจุลินทรีย์

น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค

          เราอาจเคยได้ยินข่าวว่า มีคนนำน้ำหมักชีวภาพมาใช้บริโภคกันด้วย ซึ่งน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในการบริโภค หรือ เอนไซม์ เป็นสารโปรตีน วิตามินเอ บี ซี ดี อี เค อะมิโนแอซิค(Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl Coa) ที่ได้จาก หมักผลไม้นานาชนิด เมื่อหมักระยะเริ่มแรกจะเป็นแอลกอฮอล์ ระยะต่อมา เป็นน้ำส้มสายชู ซึ่งมีรสเปรี้ยว อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ มีรสขม ก่อนจะได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ (เอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปี แต่หากจะนำไปดื่มกินควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไป

          โดยประโยชน์จากน้ำหมักชีวภาพนั้น หากมีการนวัตกรรมการผลิตที่ดีจะส่งผลดีต่อสุขภาพของระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่น้ำหมักชีวภาพ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักเป็นน้ำหมักชีวภาพที่อยู่ในสภาพเป็นแอลกอฮอล์ ดังนั้นเมื่อดื่มกินแล้วอาจมีอาการร้อนวูบวาบ มึนงง และอาจทำให้ฟันผุกร่อนได้ เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มน้ำหมักชีวภาพแบบเข้มข้น 

          อย่างไรก็ตาม การทำน้ำหมักชีวภาพ ที่ใช้บริโภคนั้น ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ หากดื่มกินเข้าไปก็เสี่ยงต่ออันตรายได้ โดยเฉพาะมีข้อมูลจาก สวทช. ร่วมกับ อย.ที่ได้เก็บตัวอย่างของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพที่วางขายตามท้องตลาดมาตรวจสอบ พบว่า น้ำหมักชีวภาพเหล่านี้ แม้จะไม่มีการปนเปื้อนของโลหะ เศษไม้ เศษดิน แต่พบการปนเปื้อนของเชื้อรา ยีสต์ เมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทและตา โดยเฉพาะเมทานอล หรือเมธิลแอลกอฮอล์ที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้

          ดังนั้นแล้ว เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา รวมทั้งต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต แหล่งผลิต และบรรจุภัณฑ์หีบห่อด้วย แต่ถ้าหากจะนำ "น้ำหมักชีวภาพ" มาใช้ในครัวเรือน หรือการเกษตร ลองทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ก็จะปลอดภัยและประหยัดที่สุด


     ที่มา   http://hilight.kapook.com/view/50873


แอดมิชชั่น Admission คืออะไร



    แอดมิชชั่น Admission คืออะไร


การสอบแอดมิชชั่นถือว่าเป็นการสอบชี้ชะตาของนักเรียนในระดับชั้น ม.6 ทุกคนที่ต้องเข้าสู่สนามสอบแข่งขันเข้าสู่คณะและมหาวิทยาลัยที่ฝันไว้ ถือเป็นการสอบครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต นักเรียนที่เข้าสอบทุกคนจะแบกรับความเครียดจากการติวหนังสือมาราธอน ความคาดหวังจากผู้ปกครอง และความต้องการจะไปให้ถึงความฝันของตัวเอง เมื่อแอดมิชชั่นมีความสำคัญต่อเรามาก การทำความรู้จักกับมันให้ละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นครับ

แอดมิชชั่น Admission สิ่งที่อยู่เคียงคู่เด็ก ม.6 มาแล้วทุกรุ่น!

การสอบแอดมิสชั่น
     แอดมิชชั่น หรือ Admission ชื่อเต็มๆว่า ระบบกลางคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (Central University Admissions System: CUAS) ดูแค่ชื่อก็น่าจะทราบกันดีแล้วว่าแอดมิสชั่นคือระบบสอบกลางที่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า ที่มีความต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ต้องสอบ แล้วนำคะแนนสอบที่ได้มายื่นเลือกคณะกันอีกที
     ระบบแอดมิชชั่นนี้ บริหารงานโดย สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า สทศ. โดยที่หน้าที่ของสทศ. คือพัฒนาข้อสอบเพื่อวัดและประเมินมาตรฐานการศึกษา วัดความรู้ความสามารถของผู้เข้าสอบแต่ละคน สทศ.จะรับผิดชอบการประเมินผลด้านการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนหลักสูตรไทย ในประเทศไทย หลายครั้งด้วยกันคือ ป.3, ป.6, ม.3, และ ม.6 แต่ในการสอบแอดมิชชั่นนั้นจะนับกันเฉพาะ การสอบวัดผลในระดับชั้น ม.6 เท่านั้น
     ยังมีอีก 1 องค์การที่จะไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้ คือ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้วางมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาให้กับโรงเรียนต่างๆในประเทศไทย เรียกง่ายๆว่า กระทรวงศึกษาเป็นผู้กำหนดหลักสูตร โรงเรียนมีหน้าที่สอนนักเรียนตามหลักสูตร และสทศ.มีหน้าที่สอบวัดผลโรงเรียนและนักเรียนแต่ละคนตามหลักสูตรนั่นเอง

กลับเข้าเรื่องแอดมิชชั่นกันต่อว่า มีวิชาอะไรบ้างที่จะต้องสอบกัน

     1. O-NET (Ordinary National Education Test) หรือการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน ในตอนนี้จะพูดถึงการสอบ O-NET ในระดับชั้น ม.6 เพียงอย่างเดียว แนวคิดของ O-NET คือ การวัดผลของโรงเรียนแต่ละโรงเรียนว่า ได้สอนนักเรียนของตัวเองตามหลักสูตรกระทรวงขนาดไหน ข้อสอบ O-NET นี้จะเป็นข้อสอบง่ายๆที่วัดเฉพาะพื้นฐานจริงๆเท่านั้น
     2. GAT (Genetal Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า  การสอบความถนัดทั่วไป ซึ่งจะเน้นเนื้อหาทางด้าน การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ข้อสอบ GAT นี้จะมีความซับซ้อนมากกว่าความยาก
     3. PAT (Professional Aptitude Test) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยสั้นๆว่า การสอบความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ เป็นข้อสอบที่ยากที่สุดในสามตัวที่พูดถึง วิชาเฉพาะด้านที่มีสอบคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พื้นฐานวิศวกรรม พื้นฐานสถาปัตยกรรม พื้นฐานความเป็นครู และวิชาด้านภาษาอื่นๆนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ

สอบเสร็จแล้วก็นำคะแนนที่ได้มา ไปยื่นเลือกคณะ

     การสอบแอดมิชชั่นจะสอบรวมกันทีเดียวเลย แล้วจะนำคะแนนของวิชาไหนมายื่นบ้างก็เป็นเรื่องของแต่ละคณะจะกำหนดกันเอาเอง รวมกับ เกรดเฉลี่ยในระดับชั้นมัธยมปลาย (GPAX) มาร่วมคำนวนด้วย โดยน้ำหนักของคะแนนสอบแต่ละส่วนจะแตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัยและคณะ การคิดคะแนนจึงค่อนข้างยุ่งยาก (มากกก) เมื่อนำคะแนนทั้งหมดสี่ส่วนมารวมกันเป็นคะแนนสุดท้าย แล้วนำคะแนนสุดท้ายที่ว่านี้มาทำการยื่นเลือกคณะอีกทีนึง
     การจะดูว่าคณะไหนต้องการคะแนนวิชาอะไรเท่าไหร่บ้าง หาไม่ยากครับ ที่ ห้องแนะแนว ของทุกๆโรงเรียนมีข้อมูลและเอกสารมากมายให้ศึกษา หากข้อมูลเยอะเกินไปจนขี้เกียจอ่านเองก็ลองใช้ทางลัด ถามอาจารย์แนะแนวดูก็ได้ครับ อาจารย์ยินดีให้คำปรึกษากับน้องๆทุกคนแน่นอนครับ อย่าเขิน อย่าอาย อย่างน้อยไปห้องแนะแนวก็ได้ตากแอร์ (หรือพัดลม) เย็นกว่าตากแดดที่สนามแน่ๆ

มีคณะไหนบ้างที่ไม่รับผ่านระบบแอดมิชชั่น

     จะมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับการแอดมิชชั่นอยู่บ้าง เนื่องจากมหาวิทยาลัยหลายๆที่ไม่มีความเชื่อมั่นในการสอบแอดมิชชั่น จึงได้จัดการสอบตรงขึ้น โดยเฉพาะคณะทางด้านแพทย์ส่วนใหญ่จะรับเฉพาะการสอบตรง ไม่ค่อยจะได้เห็นคณะด้านแพทย์ที่รับเด็กที่ผ่านการสอบแอดมิชชั่นเท่าไหร่กันนัก และยังเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วด้วย บางมหาวิทยาลัยรับผ่านแอดมิชชั่นปีที่แล้วแต่ไม่รับผ่านแอดมิชชั่นปีนี้ ต้องติดตามข่าวกันอย่างละเอียดปีต่อปีกันเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับการสอบตรงซึ่งรับทุกปี หากน้องๆต้องการเรียนต่อด้านแพทย์ ก็ควรจะเน้นไปที่การสอบตรงมากกว่าแอดมิชชั่นครับ
     เมื่อน้องๆได้รู้จักกับแอดมิชชั่นแล้ว เรื่องต่อไปคือ เราจะไปศึกษากันอย่างละเอียดกว่านี้เกี่ยวกับการสอบ O-NET GAT PAT อย่างละเอียดกันเป็นรายตัวเลยว่า แต่ละตัวสอบอะไรกันบ้าง อย่างไร เวบ ติวฟรี.คอม ได้รวบรวมข้อมูลให้น้องๆอย่างครบถ้วนแล้วครับ ให้น้องๆคลิ๊กที่ บทความแอดมิชชั่น ทางด้านขวามือของเวบ เพื่อรู้จักกับแอดมิชชั่นมากกว่านี้ครับ ขอให้น้องๆทุกคนโชคดีกับการสอบแอดมิชชั่นครับ
 
- See more at: http://www.tewfree.com/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-admission-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/#sthash.sb0wv6FV.dpuf

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่



7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยไม่เรียงตามลำดับคะแนน / วิกิพีเดีย
 
1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี
3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454
4.กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529
 
5.เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน
7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี
สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

 ที่มา
วิกิพีเดีย
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ทางธรรมชาติ
http://webboard.yenta4.com/topic/505340

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ

น้ำสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ

กินอยู่อย่างไทย ตามแบบภูมิปัญญาไทยเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยใช้สมุนไพรหรือผักผลไม้ที่หาได้ไม่ยากในวิถีชีวิตแบบ ไทย ๆ นำมาปรุงแต่งให้เป็นเครื่องดื่ม โดยยังคงคุณค่าตัวยาในการส่งเสริมสุขภาพหรือรักษาโรคไว้เช่นเดิม น้ำดื่ม สมุนไพ คือส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรเพื่อให้ยั่งยืนคู่สังคมไทย และสภาพแวดล้อมไทย ๆ ต่อไป

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"

UploadImage

3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเรา โดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็ง กล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรด ไขมันที่ชื่อ ว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้

ประโยชน์ และ สรรพคุณของชาเขียว

UploadImage

ประโยชน์ / สรรพคุณของชาเขียว

สรรพคุณของชาเขียว

- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีถึง 25 เท่า ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ลดริ้วรอยก่อนวัยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ แบบนี้สาวๆ ต้องรีบหามาดื่มกันบ้างแล้วล่ะค่ะ

- สารแคเทชินในชาเขียวสามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเตอรอลในลำไส้ และช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย

- สามารถเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารและไขมัน เพราะชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีประสิทธิภาพในการทำงาน ดีขึ้น จึงสามารถควบคุมน้ำหนัก จึงเหมาะกับสาวๆ ผู้คิดจะลดหุ่น

- สร้างลมหายใจให้สดชื่น เพราะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็น สาเหตุของโรคเหงือกและฟันต่างๆ ะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึง 95%

- ช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือดซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก

- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย


ประโยชน์ของชาเขียว

- สูตรน้ำแร่ชาเขียว

สร้างความสดชื่นให้กับใบหน้าเหมาะกับสาวๆ เมืองร้อนอย่างบ้านเราเลยค่ะ แค่นำน้ำแร่มาต้มให้เดือดใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไปอาจเพิ่มใบสะระแหน่สัก นิดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำไปแช่ในตู้เย็นกรองเอาแต่น้ำแล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำมาฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอเพิ่มความชุ่มชื่นสดใสไปตลอดวัน

- สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว

ต้มชาเขียวกับน้ำเดือดแล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด จากนั้นใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่มนำมาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดริ้วรอยของผิวรอบดวงตาและยังช่วยลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะ นุ่มนวลและดูสดอ่อนเยาว์ขึ้น

- สูตรลดน้ำหนัก

ดื่มชาเขียว วันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและไขมันของร่างกายได้

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกพรุน

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกพรุน


- แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่ รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไป เท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

- วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

- แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

- วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย เมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลงและมีอัตราการเกิดโรค มะเร็งน้อยลงมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงช่วยให้ร่างกายต่อ ต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

- วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

- ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้ามนะคะ

สูตรน้ำลูกพรุนแบบง่ายๆ

ส่วนผสม

- ลูกพรุนแห้ง 2 ผล
- น้ำตาลทราย พอสมควร
- เกลือป่น เล็กน้อย
- น้ำสะอาด 2 ลิตร
- น้ำแข็งทุบ พอสมควร

วิธีทำ

1. นำลูกพรุนแห้งและน้ำตั้งไฟปานกลางจนเดือดสักครู่น้ำจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่นเล็กน้อยชิมอย่าให้รสหวานมากเกินไป ถ้าใส่เกลือให้ใช้เพียงเล็กน้อยประมาณ 1 หยิบมือเท่านั้น (เพราะปกติการต้มน้ำผลไม้ตากแห้งมักไม่ใส่เเกลือ)
3. ยกลงจากเตาทิ้งไว้จนเย็นเวลาดื่มขณะอุ่นรสชาติเหมือนน้ำชาจีน

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของชาสมุนไพร

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของชาสมุนไพร

- ชาเปปเปอร์มินต์

เพียงแค่กลิ่นหอมๆ เย็นชื่นใจของชามินต์ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้แล้ว ขณะเดียวกันมันช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้นอนหลับง่าย แถมยังทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างปกติ เนื่องจากมินต์มีส่วนช่วยให้ไขมันในระบบย่อยอาหารสลายตัว ป้องกันไม่ให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร และด้วยความที่มันดีต่อกระเพาะของเรา มันจึงเหมาะสำหรับคนที่เมารถเมาเรือ นอกจากนี้มันมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอ่อนๆ จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


- ชาตะไคร้

เราใช้ตะไคร้ในการทำกับข้าวมานานแล้วและชาตะไคร้นั้นก็เป็นหนึ่งในตำรับ โบราณที่ใช้รักษาอาการแน่นหน้าอก ไอ หรือหวัด หากเหยาะพริกไทยลงไปสักนิดอาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนและคลื่นเหียน แถมเคยมีการศึกษาชี้ว่าการดื่มชาตะไคร้ทุกวันจะช่วยรักษาผิวหนังให้ปราศจาก สิวด้วย แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์เด็ดขาดและไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน


- ชาโสม

ไม่ว่าจะเป็นโสมเอเชียหรือโสมอเมริกาต่างก็มีสารอาหารมากมาย ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ และวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งทาง University of Maryland Medical Center ชี้ว่าโสมเป็นสมุนไพรที่เชื่อกันว่า จะช่วยให้เราสู้กับความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทสอง เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันลดคอเลสเตอรอลเลว (LDL) และสาร Ginsenosides ซึ่งพบในโสมนั้นยังมีคุณสมบัติ ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย

- ชาผลกุหลาบ

หลายคนอาจจะรู้จักผลกุหลาบในชื่อของโรสฮิปซึ่งมักจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ชาผลกุหลาบก็มีสรรพคุณดีๆ มากมาย เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีซึ่งสำคัญต่อการ สมานแผล เสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุเดียวกันนี้มันจึงช่วยลดอาการข้ออักเสบด้วย ท้ายสุดนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Planta Medica ในปี 1992 ยังชี้ว่าชาผลกุหลาบอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะก็ตาม


- ชาใบหม่อน

มีอีกชื่อเก๋ๆ ว่า ชามัลเบอร์รี่ ชาใบหม่อนก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในฐานะเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากญี่ปุ่น ที่อาจจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ เนื่องจากเชื่อกันว่ามันสามารถลดการดูดซึมน้ำตาลโดยใบหม่อนนั้นมีทั้ง แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงร่างกายเราได้ในแง่ของกระดูก ผมเล็บ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นกุญแจสำคัญให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น อีกด้วย


Tip

อย่าเพิ่งทิ้งถุงชาให้นำถุงชาที่ใช้แล้วแช่น้ำและนำไปแช่แข็งแล้วนำมาประคบ เวลาแมลงกัดต่อยหรือมีแผลเล็กๆ และยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่ดวงตาได้ดีนัก

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะตูม

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะตูม

ผลโตเต็มที่ - ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแห้งคั่วให้เหลือง ชงรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ท้องร่วง โรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก

ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก - น้ำมาเชื่อมรับประทานต่างขนมหวาน จะมีกลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บำรุงกำลัง รักษาธาตุ ขับลม

ผลสุก - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจำธาตุของผู้สูงอายุ ที่ท้องผูกเป็นประจำ

ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแต่งกลิ่น

ราก - แก้หืด หอบ แก้ไอ แก้ไข้ ขับลม แก้มุตกิต


วิธีและปริมาณที่ใช้

ใช้ผลโตเต็มที่ ฝานตากแห้ง คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่ม ใช้ 2-3 ชิ้น ชงน้ำเดือดความแรง 1 ใน 10 ดื่มแทนน้ำชา หรือชงด้วยน้ำเดือด 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกเดือย

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกเดือย


ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก

ซึ่งสอดคล้อง กับข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสารคอกซีโนไลด์ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้นทำ ให้เส้นผมงอกงามดี

ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเอง

เหตุที่ลูก เดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% เยื่อใย 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูงรวมทั้งวิตามินเอที่ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย
คุณค่ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานของ องค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา

แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็น ชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น

เห็นมั้ยค่ะว่า ลูกเดือยเป็นอาหารคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม

ลูก เดือยจึงเป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นดีเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด และผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

เหตุที่ ลูกเดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงดังกล่าวแล้ว คนจีนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาบดผสมข้าวต้มกินทุกวัน นอกจากนี้ลูกเดือยยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดรวมไปถึงทำเป็นอาหาร เสริมหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่หาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปใครใคร่รับประทานแบบไหนก็ เลือกซื้อหากันตามชอบใจนะค่ะ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต

1. เหตุผลดีๆ ที่ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์

ข้าวโอ๊ตมักนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพราะเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูง แต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ข้าวโอ๊ตจึงนับเป็นอาหารที่ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก จึงดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่างๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้เรารู้สึกอิ่มนานไม่หิวระหว่างมื้อบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่าง กาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบเต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุม น้ำหนัก

2. ข้าวโอ๊ต กินอย่างไรได้ประโยชน์?

เรามักนิยมนำข้าวโอ๊ตมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพเพราะมีคุณค่าทาง โภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม เราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นหลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่ซ้ำ สามารถรับประมาณได้ตลอดและรวดเร็วเหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่รีบเร่งของ ทุกวันนี้ด้วยค่ะ สบายอารมณ์มีสูตรข้าวโอ๊ตอร่อยๆ มานำเสนอเผื่อสาวๆ อยากจะทำรับประทานที่บ้านบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

- ตอนเช้าๆ ลองซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยหรือนมสดสักแก้วแล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปค่ะ) พร้อมลูกเกด ผลไม้สดต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ช่วยเพิ่มพลังให้เช้านี้อย่างสดใสอิ่มท้องอยู่นานไปจนมื้อเที่ยงเลยค่ะ

- โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ นำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊กแล้วปรุงน้ำซุปให้ได้รสชาติตามต้องการ จากนั้นเติมข้าวโอ๊ตลงไปตามด้วยหมูสับและผักตามชอบสับละเอียดก็จะได้โจ๊ก ข้าวโอ๊ตร้อนๆ มากคุณค่า


3. ข้าวโอ๊ตกับความงาม

นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความสวยความงามของสาวๆ กันได้อีกมากมาย นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น แชมพู โลชั่นทาผิว สบู่ข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอีเป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาสครับผิวได้อีกด้วย ค่ะ หรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นแต่ไม่ มันเพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ

UploadImage

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ

อีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะ ร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกัน เลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้อ อาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ

4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจน ลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีก ด้วย

3. มะระ

ทั้งมะระจีนและมะระขี้นกในตำรายาไทยบอกว่าเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงระดู แพทย์จีนเชื่อว่ามะระมีพลังของความเย็น ช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตาและผิวหนัง แม่บ้านชาวจีน มักจะปรุงอาหารด้วยมะระ ให้คนในครอบครัวรับประทานยามเป็นสิวที่ใบหน้าและร่างกาย เมนูมะระ เช่น ผลอ่อนและยอดอ่อนนำมาลวกต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก ถ้าราดด้วยน้ำกะทิจะมีรสชาติดีขึ้น ผัดใส่ไข่ แกงกะทิ แกงจืดยัดไส้หมูสับ ส่วนมะระขี้นกมีรสขมกว่ามะระจีน ผลอ่อนนำไปต้มเผากินกับน้ำพริกหรือราดกะทิสดเพิ่มรสชาติ แกงจืดมะระขี้นกยัดไส้หมูสับ พะแนงมะระขี้นกยัดไส้ แกงเผ็ด ผัดกับไข่ ยอดมะระลวกจิ้มน้ำพริกหรือทานกับปลาป่นของชาวอีสาน และนิยมนำใบใส่ลงไปในแกงเห็ดแบบพื้นบ้านจะทำให้แกงมีรสขมนิดๆ กลมกล่อมมาก บ้างนิยมนำใบมาต้มหรือลวกจิ้มน้ำพริก ทางภาคเหนือนิยมนำยอดมะระสดมากินกับลาบหรือนำไปทำแกงคั่ว แกงเลียง และแกงป่า ได้รสน้ำแกงที่ขมเฉพาะตัว

4. ยอ

ผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักดีและบริโภคเป็นอาหารมานานทั้งใบและผลยอมีวิตามิน ซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ ผู้หญิงควรกินลูกยอที่แก่จัดเพื่อบำรุงเลือดลม ปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คนโบราณเชื่อว่าถ้าเลือดลมดี ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า เราจึงควรหาโอกาสทานอาหารที่มียอเป็นส่วนประกอบเพราะนอกจากจะมีคุณค่าทาง อาหารสูงแล้วยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเป็นปกติโดยไม่เสียสมดุล เมนูเด็ดใบยอ เช่น แกงใบยอปลาดุก ห่อมกใบยอ แกงอ่อมใบยอ ข้าวยำใบยอ เมี่ยงใบยอ หรือยอดใบยอจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนผลก็ลองนำลูกยอสุกงอมจิ้มเกลือกับน้ำตาลกินหรือบางคนอาจยังไม่เคยทาน ส้มตำลูกยอ และปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำลูกยอขายลองไปหามาชิมดู

สรรคุณ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

UploadImage
วันนี้เราได้นำเอาเกร็ดน่ารู้ที่เกี่ยวกับสรรคุณของเมล็ดกาแฟและประโยชน์ของเมล็ดกาแฟมา ฝากคอกาแฟทั้งหลายให้ได้รู้กันค่ะ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยดื่มกาแฟกันใช่ไหมค่ะและก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จนถึงขั้นติดกาแฟเลย ก็อย่างว่าแหละข้อดีของกาแฟที่เรารู้กันก็คือถ้าดื่มกาแฟแล้วจะไม่ง่วง แต่วันนี้คอกาแฟทั้งหลายต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษเพราะว่าวันนี้เราได้นำเอา สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ มาบอกกันค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่แค่จะทำให้กาแฟสดใหม่ หอมอร่อยแค่นั้นนะค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ นี้ยังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย งั้นวันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ กันอย่างละเอียดกันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองว่าคุณจะได้สาระและประโยชน์จากเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบอย่างแน่นอน

สรรคุณ / ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

1. ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

2. กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

3. ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) คืออะไร

ผลโกจิเบอร์รี่ หรือมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Chinese Wolfberry ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทางเภสัชศาสตร์ว่าเป็นพืชในตระกูล Lyceum Barum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน

ความสำคัญของผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแถบเอเชียว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสาร อาหารมากที่สุด ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางยาจีนแผนโบราณซึ่งได้มีการบันทึกในประวัติ ศาสตร์จีนเกือบ 2,000 ปี จากตำนานที่ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานพบว่า โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นพืชโบราณที่มีอายุมากว่าที่จดบันทึกไว้ราว 2,800 ปี ก่อนพุทธกาล

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่นิยมในประเทศในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆ ในระดับแนวหน้าอุตสาหกรรมรมอาหารระดับโลก เพราะผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสารอาหารและการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีพลังแอนตี้ออกซิแดนซ์ (ต่อต้านอนุมูลอิสระจากการทำลายเซลล์และชะลอความชรามากที่สุดในโลก)

โก จิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน การค้นหาโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ชนิดที่ดีเยี่ยมจริงๆ เช่นเดียวกับความหลากหลายของผลองุ่น คุณภาพของเหล้าไวน์ที่แตกต่างกันไป ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีสายพันธุ์ต่างๆ มากถึง 41 สายพันธุ์ด้วยกันที่ปลูกในทิเบต ดร.Mindell ทราบดีว่าเขาต้องทุ่มเทวิเคราะห์สายพันธุ์โกจิหลายสิบสายพันธุ์เป็นอย่างมาก เพื่อหาสายพันธุ์ที่ดีเยี่ยมเพียงสายพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับที่หมอรักษาชาวหิมาลัยโบราณเป็นผู้ค้นพบและได้ รับการกล่าวขานยกย่องเป็นตำนานมาตั้งแต่สมัยโบราณ

จากการค้นคว้าและ วิจัยของ Dr. Earl Mindell ได้ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบประโยชน์ในงานวิจัยดังนี้
- ชะลอความชรา (Anti-aging)
- ควบคุมน้ำตาลในเม็ดเลือดแดง (Blood Builder)
- เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ (Cardiovascular Support)
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immunity System)

ประโยชน์ มากมายจากอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โกจิเบอร์รี่ หรือ เก๋ากี้ รู้จักกันในทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นพืชในตระกูล Lycium Barbarum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน ทิเบต

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ได้แก่

1. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด (ปกติมี 20 ชนิด) แต่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด

2. มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องกายในปริมาณน้อย รวม 21 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม ฯลฯ

3. มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า (เป็นพืชที่มีวิตามินิซีสูงเป็นอันดับสอง รองจาก คามู คามูเบอร์รี่)

4. มีวิตามิน บี1 บี2 บี6 และวิตามินอี

5. มีสารโพลี่แซคคาไรด์ 4 ชนิด : LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4
- ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลดี
- ช่วยปรับความดันโลหิตให้ปกติ
- ช่วยให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลินอยู่ในสภาวะสมดุล
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
- ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้สู่ปกติได้เร็วขึ้น

6. มีสารเจอร์มาเนี่ยม Germanium : Ge ที่อยู่ในสภาพอินทรีย์ (organic) ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง

7. มีสารซิแซนทิน(Zeaxanthin) มีสูงถึง162 มก./100 กรัมสูงกว่าสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 5 เท่า
- ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา
- ช่วยผู้มีอาการ ต้อลม ตาพร่า ตามัว ให้คืนสู่สภาพปกติ
8. เบต้า - ไซโตสเตอรอล (Beta - sitosterol)
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยการดูดซึมที่ลำไส้
- ช่วยลดอาการต่อมลูกหมากโต
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพน้ำอสุจิให้แข็งแรง

9. ไซเพอโรน (Cyperone) ช่วยให้หัวใจและความดันทำงานได้ปกติ

10. ไฟซาลิน (Physalin) ช่วยกำจัดโรคร้าย ลิวคีเมีย (Leukemia)

11. บีรเทน (Betaine) เป็นสารประกอบที่ให้ตับใช้ ผลิตโคลีนซึ่งเป็นสารประกอบที่
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต
- ช่วยป้องกันโรคตับ

12. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดาผักและผลไม้อื่นๆ คือ มีค่า ORAC สูง 25,300 unite

จาก เหตุผลดังกล่าวข้างต้นคุณสามารถดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เพื่อรักษาและป้องกันอาการต่างๆ ได้ เพราะน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ก็คือ น้ำผลไม้ไม่ใช่ยา ไม่มีผลข้างเคียง ชาวจีนใช้กันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 3,000 ปี

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

UploadImage

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ ...

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำมีวิตามินอีและไม่ผ่านขบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) และที่สำคัญกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีกรดคลอริกอยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะ เปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่มีชื่อว่า โมโนลอรีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดาที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ ทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อย เป็นอะไร และยังสามมารถฆ่าเชื้อโรค ในโมโนลอรีนเป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้ เกิดหลอดเลือดแข็งตัว

สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

1. ช่วยในการชะลอความชรา

- ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
- ป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนัง
- ป้องกันการเกิดกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า
- ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง กระด้าง

2. ป้องกันผมหงอก

น้ำมันมะพร้าวสามรถช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมจึงช่วยเสริมความแข็งแรง โดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี

3. ช่วยป้องกันโรค

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ(เลิกบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว)จะช่วยแก้ สถานการณ์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนล้าของผู้สูงอายุ และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ

4. โรคอ้วน

- ให้พลังงานน้อย
- ช่วยนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานน้ำมันมะพร้าวยังไปเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน

5. กระตุ้นกิจกรรมทางเพศ

- ใช้แทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวเป็นสารธรรมชาติที่มีสมบัติคล้ายสารหล่อลื่นในช่องคลอด
- ใช้นวดเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล

UploadImage

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูกจะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้ วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรคจะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมันคงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์ สูงมันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษมีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อและยังยับยั้ง อาการตั้งต้นของโรคและการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือกมากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกอก

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกอก

- ยอดมะกอก กินดิบเป็นผักจิ้ม สุกก็กินได้ เผาจิ้มน้ำพริก

- เนื้อไม้มะกอกแม้จะเป็นไม้เนื้ออ่อน แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำกล่องไม้ขีด ทำไม้จิ้มฟัน ทำกล่องใส่ของ และหีบศพ เป็นต้น

- เปลือก ป่นเป็นผง ผสมน้ำ ใช้ทาแก้โรคปวดตามข้อ ใช้เป็นยาเย็นแก้โรคท้องเสีย โรคเกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียน

- เมล็ด เผาไฟ แช่เอาน้ำดื่ม แก้อาการผิดสำแดง แก้ร้อนใน แก้หอบ สะอึก

- ผลสุก ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) รักษาโรคกระเพาะอาหารพิการ มีรสเปรี้ยวอมฝาดต่อมาจะเปลี่ยนเป็นรสหวาน ชุ่มคอ ผลสุกมีกลิ่นหอมมาก

แม้ตำราปลูกต้นไม้ในบ้านของชาวไทยจะไม่ถือว่ามะกอกเป็นไม้มงคล เพราะไม่มีข้อห้ามมิให้ปลูกมะกอกในบริเวณบ้าน (เช่น ลั่นทมหรือมะรุม) ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดมีพื้นที่บริเวณบ้านพอก็น่าจะหามะกอกมาปลูกไว้สักต้น เพราะนอกจากรูปทรงต้นและลักษณะใบที่งดงามแล้วท่านยังจะได้ประโยชน์จากมะกอก มากมาย

ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย! สมุนไพร ผัก ผลไม้

UploadImage

ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย 10 สมุนไพร ผัก ผลไม้

1. หน่อไม้ฝรั่ง

นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่มราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสาร พิษ และการบวมน้ำโดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน


2. บีทรูท

เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและช่วยกระตุ้นการทำงาน ของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด


3. เบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมากนำไปทำเป็น สมูธตี้หรือสลัดผลไม้


4. บร็อกโคลี

มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็งเนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่าหรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัดหรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

5. กะหล่ำปลี

กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัดหรือนำไปผัดหรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก


6. มะนาว (lemons)

สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูงจึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยใน การล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อนดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุตดื่มเพิ่มความสดชื่น


7. ลินสีด (Linseed) หรือ เมล็ดแฟล็กซ์

นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบดแล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด


8. พริก

อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริก และ มะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดีและช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิดเพื่อให้แน่ใจ ว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย


9. มะละกอ และสับปะรด

มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีนและกระตุ้นให้ร่างกาย ขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะนำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวานหรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาวทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง


10 ผักสลัดน้ำ หรือ วอเตอร์เครส

เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครส เป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของ ตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูงจึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอมหรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของสาหร่ายทะเล

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของสาหร่ายทะเล


1. ไอโอดีน โดยปกติแล้วคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันและช่วยป้องกันโรคคอพอก ได้

2. ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลรวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำ เป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น

3. ทองแดง หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย

4. สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

5. ใยอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระทำให้ท้องไม่ผูกและเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

6. อย่างไรก็ดี ถึงแม้คุณจะชอบสาหร่ายมากเพียงใดก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมสูงผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงจึงควร ระวัง

7. สาหร่ายทะเลไม่เพียงอร่อย แต่ยังมากด้วยประโยชน์ ที่สำคัญมีราคาที่ไม่แพงนัก เห็นทีมื้อเที่ยงนี้ต้องมองหาสาหร่ายทะเลมาทำกับข้าวทานบ้างแล้วค่ะ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของแก้วมังกร

UploadImage

สรรพคุณ / ประโยชน์ของแก้วมังกร


ผลไม้รูปร่างกลมรีขนาดใหญ่ เปลือกสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวมีเม็ดคล้ายเม็ดแมงลักฝังตัวอยู่ทั่วผล เนื้อสดหวานนุ่มชุ่มฉ่ำ เมื่อทานแล้วช่วยทำให้สดชื่นผ่อนคลายได้ดีทีเดียว

แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ สีขาวกับสีแดง สีแดงจะมีรสหวานกว่า ส่วนรสหวานของแก้วมังกรสีขาวเป็นหวานอ่อนๆ ที่ไม่มีพิษภัย จะมีก็แต่คนติดรสหวานที่อาจติว่าจืดชืดไปหน่อย ถ้าใครไม่ชอบก็ขอบอกว่า คุณได้พลาดผลไม้ที่มีประโยชน์สุดๆ ต่อสุขภาพและความงามไปอย่างน่าเสียดาย

ความโดดเด่นที่ทำให้สาวๆ หลายคนชอบกินผลไม้ชนิดนี้ก็เนื่องจากเป็นผลไม้ที่สามารถกินกันได้โดยไม่ต้อง ห่วงเรื่องไขมันและความหวานที่กลายไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง แถมยังกินอิ่มท้องจนทดแทนอาหารเย็น เป็นผลไม้ที่ใช้ช่วยลดน้ำหนักได้สบายๆ ทีเดียว

คุณค่าอาหารที่ซุกซ่อนอยู่ในแก้วมังกรก็มีทั้งแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามิน บี1 บี2 บี3 แต่ที่เยอะมากสุดก็คือวิตามินซี จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องของสายตาได้ด้วย

วิธีทานก็ง่ายๆ แค่ผ่าครึ่งลอกเปลือกหรือใช้ช้อนตักเข้าปากเลยก็ได้หรือจะนำไปทำเป็นเครื่อง ดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แก้วมังกรก็สามารถแทรกรสชาติไปกับทุกอย่างได้กลมกลืนและกลมกล่อม

ที่มา.http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3?start=20